วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

ทั่วไทย..อาลัยไม้หนึ่ง...












ฤๅ..จะรุนแรงขึ้น จาก "ไม้หนึ่ง ก.กุนที"


















คดีคนร้ายยิง นายกมล ดวงผาสุก  หรือ  "ไม้หนึ่ง ก.กุนที"   กวีเสื้อแดง และแกนนำกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล เสียชีวิตที่ลานจอดรถร้านอาหารครกไม้ไทยลาว ซอยลาดปลาเค้า 24 เขตลาดพร้าว กทม. เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา  กลายเป็นความรุนแรงทางการเมืองที่หลายฝ่ายเกิดความวิตกกังวล... 

โดยเฉพาะ จรัล ดิษฐาอภิชัย ที่ปรึกษารองนายกฯ ออกมาระบุว่าการตายของนายกมลทำให้หวนถึงเหตุการณ์ทางการเมืองหลัง 14 ตุลาคม 2516 เมื่อขบวนการประชาชน และนักศึกษาเติบโต ก็เริ่มมีการไล่ล่าจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเป็นระบบ โดยนายแสง รุ่งนิรันดรกุล นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นรายแรกที่ถูกฆ่าในเดือนกรกฎาคม 2517 เพราะเจ้าหน้าที่ปักใจเชื่อว่านายแสงเป็นคอมมิวนิสต์ และจัดตั้งนักศึกษาให้เคลื่อนไหว หลังจากนั้นขบวนการไล่ล่านักศึกษาและปัญญาชนก็เริ่มขึ้น ทั้งยังมีกรรมกรและชาวนาถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก 

"อาจารย์บุญสนอง บุญโยทยาน" เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ถูกยิงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2519   เป็นศพสุดท้ายก่อนจะเกิดเหตุการณ์ล้อมฆ่าหมู่นักศึกษา วันที่ 6 ตุลาคม 2519 

กรณี "ไม้หนึ่ง" ก็เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองสูง...จึงน่าเป็นห่วงว่า ฤดูกาลไล่ล่าคนเสื้อแดงกำลังเริ่มต้น?

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ไม่รู้ว่าจะเป็นการสังหารเพียงรายหรือสองรายเพื่อข่มขู่เช่นเดียวกับในกรณีของนายขวัญชัย ไพรพนา หรือจะเป็นการกระทำในลักษณะเดียวกับช่วงปี 2518-19 จนถึง 6 ตุลา 19 นักวิชาการ ผู้นำนักศึกษา ผู้นำกรรมกร และผู้นำชาวนา ถูกยิงตายรวมกันกว่าร้อยศพ เป็นข่าวเกือบทุกสัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลาปีกว่า ตายเหมือนใบไม้ร่วง และจับคนยิงไม่ได้เลยแม้แต่รายเดียว เป็นการลอบสังหารทางการเมือง คาดว่าเป็นฝีมือหน่วยล่าสังหารในยุคนั้นที่ไล่ฆ่าตามบัญชีรายชื่อที่เตรียมไว้

ประเด็นที่เกิดอดีต เปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว...สถานการณ์จะหวนกลับไปยังอดีตอีกครั้งหรือไม่ ?

อาจารย์สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง มองว่า ไม่น่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรงในภายภาคหน้าได้ 

"ผมคิดว่าอาจจะเป็นความคิดเก่าของคนที่คิดแบบเดิม แต่คงไม่เวียนกลับไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ฉะนั้นตรงนี้น่าจะเป็นการขู่อีกฝ่าย การกระทำครั้งนี้น่าจะเป็นคนละจุดมุ่งหมาย 

"สมัยก่อนสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การปฏิวัติ แต่ว่าการที่จะเก็บอีกฝ่ายเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะเลิก ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำว่าอีกฝ่ายกระทำ อีกฝ่ายจะไม่กล้า 

"คนอาจจะตีความไปในทางการเมืองเพราะไม้หนึ่งมีบทบาทและค่อนข้างแสดงตัวชัดเจน ส่วนจะนำไปสู่ความรุนแรงหรือไม่นั้น ไม่ทราบ เพราะทุกวันนี้ก็รุนแรงอยู่แล้ว ประชาชนต้องหาข่าวดูว่าใครโดนยิงที่ไหนบ้าง หรือใครไปยิงอะไรที่ไหนบ้าง และคนจะมีความรู้สึกเหมือนธรรมดาไปแล้วกับความรุนแรง ก็คือมีการฆ่าฟันกันตายไปหลายศพ ตั้งแต่เกิดการชุมนุม ก็เกิดระเบิดตลอด เพียงแต่ว่าคนรู้สึกว่ามันไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิด สิ่งที่คนกลัวก็คืออย่ายกพวกตีกันนะ อย่ายกพวกมาปะทะกันนะ ซึ่งการตายของไม้หนึ่ง ไม่น่าจะเป็นสาเหตุให้เกิดความรุนแรง เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้น" 





สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์จุฬาฯ กล่าวว่า เป็นความพยายามทำให้คนหวาดกลัวเพิ่มขึ้น                  แต่เหตุการณ์เหมือน 6 ตุลา 2519 คงไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ 6 ตุลา เกิดการกวาดล้าง ปราบปรามความรุนแรงที่เกิดขึ้นก็มีส่วนช่วยในการปูทางไปสู่ความรุนแรง ซึ่งเราเห็นผลลัพธ์แล้ว ส่วนในครั้งนี้ความรุนแรงรูปแบบอื่นๆ เงื่อนไขเวลาต่างๆ ไม่คิดว่าจะเหมือนกัน เพราะทำแบบนี้แล้วคนเสื้อแดงก็ไม่กลัว ไม่เหมือนเมื่อเหตุการณ์ 6 ตุลาที่ทำให้คนกลัวได้และคิดว่าไม่น่าจะมีรัฐประหารขึ้น เพราะไม่สอดคล้องกับกระแสการเมืองของโลกแล้ว 

"ปีนี้ผมไม่คิดว่าจะมีรัฐประหาร ไม่เชื่อลองดูว่าประเทศไหนในโลกนี้บ้างที่ตอนนี้ยังทำรัฐประหารอยู่ ถ้าเราทำ เราก็จะกลายเป็นประเทศบิดๆ เบี้ยวๆ ดูเลยว่าประเทศไหนทำรัฐประหารในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาไม่มีแล้วที่จะทำรัฐประหารกัน ไม่มีประเทศไหนแก้ปัญหากันด้วยการรัฐประหาร คนทำรัฐประหารในตอนนี้ล้าหลังมาก เหมือนคนเชื่อว่าโลกแบนเพราะการทำรัฐประหารแก้ปัญหาอะไรไม่ได้"

การลุกฮือของคนเสื้อแดงอาจไม่ได้มีเงื่อนไขมาจากเหตุการณ์ของคุณไม้หนึ่งอย่างเดียว เพราะประเทศไทยที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางประชาธิปไตยมากขึ้น หมายความว่าคนที่คิดเห็นไม่เหมือนกัน คิดต่างกันจะมาต่อสู้ทางการเมืองกันได้ในกฎกติกาที่ชัดเจนคือระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ยอมรับความคิดต่างและเราต่อสู้กันในระบอบนั้น มีกฎเกณฑ์ มีกติกา เพราะฉะนั้นคิดว่าถ้าประเทศเดินหน้าไปในทิศทางประชาธิปไตยได้ การลุกฮือของคนเสื้อแดงก็จะไม่เกิดขึ้น สุธาชัยกล่าวทิ้งท้าย


จากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2557 

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

ขวาพิฆาตซ้าย? ใครฆ่า..ไม้หนึ่ง ก.กุนที






ขวาพิฆาตซ้าย?

คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
สมิงสามผลัดวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8550 ข่าวสดรายวัน

การสังหาร "ไม้หนึ่ง ก.กุนที" กวีเสื้อแดงคนสำคัญ ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงบ้านเมืองใกล้วิกฤตในขณะนี้   มีคนตั้งข้อสงสัยว่า กรณีมือปืนอุกอาจมาก ถึงขนาดบุกยิงแกนนำคนเสื้อแดงแบบกลางวันแสกๆ หน้าร้านอาหารกลางกรุงเทพฯ ในช่วงที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง

ที่สำคัญ "ไม้หนึ่ง ก.กุนที" ไม่ใช่แกนนำคนเสื้อแดงรายแรกที่โดน "ล่าสังหาร" ก่อนหน้านี้ไม่นาน "ขวัญชัย ไพรพนา" แกนนำคนรักอุดรฯ ก็เพิ่งโดนยิงถล่มปางตาย ขณะนั่งจิบกาแฟอยู่หน้าบ้านของตัวเองกลางเมืองอุดรธานี   เพียงแต่ "ขวัญชัย" ชะตายังไม่ถึงฆาต รอดชีวิตมาได้แบบปาฏิหาริย์   ตำรวจก็ตามจับทีมสังหารคน "มีสี" ได้เกือบครบ ซึ่งต้องติดตามว่าจะสาวไปถึง "คนบงการ" ได้หรือไม่

วกกลับมาที่คดี "ไม้หนึ่ง" ก็มีคนตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือคน "มีสี" ด้วยหรือไม่ เพราะลงมือแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนกฎหมายบ้านเมือง ไม่สนพ.ร.บ. ความมั่นคง   และยิ่งเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางเข้าไปอีก เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานมีการตั้งองค์กร ตั้งกองกำลังติดอาวุธกันแล้ว   จะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีให้กระจ่าง และต้องหาคนกระทำผิดมาลงโทษให้ได้ตามกฎหมาย

คดีความก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย แต่ต้องพึงระวังกันไว้ก็ดี
หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16 ถึง 6 ตุลาฯ 19 ก็มีการลอบสังหารแกนนำน.ศ. แกนนำชาวนา แกนนำนักวิชาการหลายคน  จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นยุคแห่งขบวนการขวาพิฆาตซ้าย   หากดูจากการลงมืออย่างอุกอาจของคนร้ายที่ยิงถล่ม "ขวัญชัย" คาบ้านพัก หรือบุกสังหาร "ไม้หนึ่ง" กลางกรุง ไปเทียบกับการสังหารในเหตุการณ์เมื่อปี 2516-2519 แล้ว

หรือว่า "ขบวนการขวาพิฆาตซ้าย" กำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง!?
************************************** 
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.khonthaiuk.info/forum/index.php?topic=27932.0

อาลัย..ไม้หนึ่ง ก.กุนที




อาลัย..ไม้หนึ่ง ก.กุนที
โดยจักรภพ เพ็ญแข

เพื่ออำลาอาลัย “ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี” อย่างเหมาะสม ผมขอเล่าถึงสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นคุณประโยชน์ของนักต่อสู้ท่านนี้ตามที่ผมได้รู้มาเป็นการส่วนตัว ผมมั่นใจว่า “ไม้หนึ่งฯ” ไม่ต้องการให้แนวคิดและปรัชญาที่เขาบรรจงจารึกเอาไว้ด้วยคำพูดและตัวอักษรต้องสลายหายลับไปกับร่างกาย ใครที่รักอาลัยในตัวเขา ก็ควรที่จะพิจารณาช่วยกันนำคุณค่าเหล่านี้เผยแผ่ออกไปให้กว้างขวาง

๑. “ไม้หนึ่งฯ” คือผู้ชูธงในการปฏิวัติวัฒนธรรมในขบวนประชาธิปไตย แน่นอนว่าเรามีผู้คนอีกมากมายในขบวนนั้น แต่เขาคือสมาชิกระดับนำของกลุ่มที่เหนียวแน่นและหนักแน่นตั้งแต่วันที่ขึ้นเวทีด้วยผมทรงสกินเฮดเป็นต้นมา ผมไม่ได้ยินใครเน้นย้ำเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรมมากนัก ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมและการแสดงออกกันมากกว่า แนวคิดด้านนี้ของ “ไม้หนึ่งฯ” เป็นแนวรบที่สำคัญที่อาจจะยิ่งกว่าการสู้รบชนิดอื่นๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องห่อหุ้มการต่อสู้ชนิดอื่นๆ ไว้ให้มั่นคง เพราะวิกฤติเมืองไทยเกิดขึ้นจากแนวคิดอันล้าหลัง และวัฒนธรรมความคิดที่ด้อยพัฒนากว่าโลก หากเราไม่ทำงานด้านนี้ควบคู่ไปด้วย สังคมไทยก็จะเด้งกลับมาที่เก่า เคยยึดมั่นกับลัทธิบูชาบุคคลขนาดคลั่งไคล้มาอย่างไร ก็จะแค่เปลี่ยนจากคนหนึ่งมาเป็นอีกคนหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ได้พัฒนาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง ขึ้นเลย แผ่นดินที่หนึ่งหรือแผ่นดินที่สองจะโง่เขลาเท่ากัน ถ้าคนบนแผ่นดินไม่ตระหนักรู้ว่าความเป็นคนของตนคืออะไร ผมคิดว่าแนวคิดที่ “ไม้หนึ่งฯ” เน้นย้ำหนักหนาในการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นมรดกสำคัญที่ต้องสานทอกันต่อไป

๒. “ไม้หนึ่งฯ” เป็นผู้รุ่มรวยถ้อยคำ รักภาษา และใช้ภาษาอย่างระมัดระวังเสมอ แต่วลีที่ “ไม้หนึ่งฯ” ใช้บ่อย และผมก็ชอบใจจนนำมาใช้ตามเขาด้วยคือ “ประกอบส่วน” “ไม้หนึ่งฯ” มักใช้วลี ประกอบส่วน ในการทำงานของขบวนประชาธิปไตยเสมอๆ ความหมายก็คือ การทำงานของฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่มีใครเด่นเป็นสง่าหรือเพียบพร้อมอยู่แต่ผู้เดียว แต่ต้องผสมผสานจนกลมกลืนกันอย่างเหมาะสม วลีที่ว่านี้ดูจะเป็นเพียงถ้อยคำภาษา แต่คิดดูสิครับว่า กลุ่มพลังประชาธิปไตยแตกกันมาแล้วกี่กลุ่ม ทะเลาะกันมาแล้วกี่ที่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการผสมงานแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเพื่อผลที่ใหญ่โต กว้างขวาง และลึกซึ้งขึ้น ทั้งหมดนี้คือการขาดภาวะ “ประกอบส่วน” แทบทั้งนั้น ผมจึงพอใจในวลีนี้ และรู้สึกขอบคุณที่ “ไม้หนึ่งฯ” ฝากเอาไว้ให้

๓. “ไม้หนึ่งฯ” ได้กลายเป็นหลักฐานแห่งชีวิตจริงของการต่อสู้ทางการเมืองจากนี้ไป ความสูญเสียครั้งนี้ใหญ่โตและน่าตระหนก แต่สำคัญกว่านั้นคือความรู้อันชัดแจ้งว่า ฝ่ายตรงข้ามคือใคร มีวัตถุประสงค์อย่างไร และใช้วิธีการอย่างไร ชีวิตอันมีค่าของ “ไม้หนึ่งฯ” คือ สัญญาณเตือนภัยที่สำคัญของนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกๆ คน จากนี้ไปเราทุกคนควรจะตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท หยุดคิดว่าวิกฤติครั้งนี้จะจบลงอย่างง่ายดาย หรือจะมีอัศวินม้าขาวที่ไหนมาปัดเป่าให้ทุกข์พ้นไปจากตัว เราต้องเร่งเสริมงานและจัดตั้งขบวนการประชาชนให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะเกิดการผลัดแผ่นดินโดยธรรมชาติด้วยซ้ำไป


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.khonthaiuk.info/forum/index.php?topic=27926.0



จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair

April 24, 2014

มรดกของ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี


ผมรู้ข่าวการฆาตกรรม “ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี” หรือ “กมล ดวงผาสุก” ของเราระหว่างที่ผมเดินทางโดยรถไฟจากย่านชินจูกุในกรุงโตเกียว กลับมาที่สถานีโตโกชิ-กินซ่า ข่าวร้ายนั้นทำให้รู้สึกว่าหัวใจหนักกว่าปกติ บรรยากาศรอบตัวดูจะหม่นหมองลงไปอย่างฉับพลัน ผมตระหนักดีว่า วิกฤติการณ์การเมืองครั้งนี้ ใหญ่หลวงกว่าทุกคราว เพราะคือเดิมพันว่า คนไทยธรรมดาอย่างเราท่าน มีส่วนแบ่งขนาดไหนในความเป็นเจ้าของประเทศไทย โดยต่อสู้ผ่านการปกปักรักษากลไกประชาธิปไตยต่างๆ ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ในขณะที่ระบอบอำมาตย์ศักดินาก็คิดด้วยมิจฉาทิฏฐิว่าจะมีคนคิดโค่นล้มทำลายตน จึงระดมความชั่วร้ายทุกชนิดมาค้ำฐานะอันคลอนแคลนของตนไว้สุดกำลัง โดยไม่รู้เลยว่าพลเมืองก้าวหน้าเขาต้องการเพียงสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐานของเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดทะเยอทะยานไปกว่านั้นเลย แต่ถึงรู้อย่างนั้น ผมก็ยังเสียใจและเศร้าใจอย่างบรรยายไม่ถูก เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับ “ไม้หนึ่งฯ” ผู้เป็นแกนนำสำคัญในทางความคิด

เพื่ออำลาอาลัย “ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี” อย่างเหมาะสม ผมขอเล่าถึงสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นคุณประโยชน์ของนักต่อสู้ท่านนี้ตามที่ผมได้รู้มาเป็นการส่วนตัว ผมมั่นใจว่า “ไม้หนึ่งฯ” ไม่ต้องการให้แนวคิดและปรัชญาที่เขาบรรจงจารึกเอาไว้ด้วยคำพูดและตัวอักษรต้องสลายหายลับไปกับร่างกาย ใครที่รักอาลัยในตัวเขา ก็ควรที่จะพิจารณาช่วยกันนำคุณค่าเหล่านี้เผยแผ่ออกไปให้กว้างขวาง

๑. “ไม้หนึ่งฯ” คือผู้ชูธงในการปฏิวัติวัฒนธรรมในขบวนประชาธิปไตย แน่นอนว่าเรามีผู้คนอีกมากมายในขบวนนั้น แต่เขาคือสมาชิกระดับนำของกลุ่มที่เหนียวแน่นและหนักแน่นตั้งแต่วันที่ขึ้นเวทีด้วยผมทรงสกินเฮดเป็นต้นมา ผมไม่ได้ยินใครเน้นย้ำเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรมมากนัก ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมและการแสดงออกกันมากกว่า แนวคิดด้านนี้ของ “ไม้หนึ่งฯ” เป็นแนวรบที่สำคัญที่อาจจะยิ่งกว่าการสู้รบชนิดอื่นๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องห่อหุ้มการต่อสู้ชนิดอื่นๆ ไว้ให้มั่นคง เพราะวิกฤติเมืองไทยเกิดขึ้นจากแนวคิดอันล้าหลัง และวัฒนธรรมความคิดที่ด้อยพัฒนากว่าโลก หากเราไม่ทำงานด้านนี้ควบคู่ไปด้วย สังคมไทยก็จะเด้งกลับมาที่เก่า เคยยึดมั่นกับลัทธิบูชาบุคคลขนาดคลั่งไคล้มาอย่างไร ก็จะแค่เปลี่ยนจากคนหนึ่งมาเป็นอีกคนหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ได้พัฒนาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง ขึ้นเลย แผ่นดินที่หนึ่งหรือแผ่นดินที่สองจะโง่เขลาเท่ากัน ถ้าคนบนแผ่นดินไม่ตระหนักรู้ว่าความเป็นคนของตนคืออะไร ผมคิดว่าแนวคิดที่ “ไม้หนึ่งฯ” เน้นย้ำหนักหนาในการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นมรดกสำคัญที่ต้องสานทอกันต่อไป

๒. “ไม้หนึ่งฯ” เป็นผู้รุ่มรวยถ้อยคำ รักภาษา และใช้ภาษาอย่างระมัดระวังเสมอ แต่วลีที่ “ไม้หนึ่งฯ” ใช้บ่อย และผมก็ชอบใจจนนำมาใช้ตามเขาด้วยคือ “ประกอบส่วน” “ไม้หนึ่งฯ” มักใช้วลี ประกอบส่วน ในการทำงานของขบวนประชาธิปไตยเสมอๆ ความหมายก็คือ การทำงานของฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่มีใครเด่นเป็นสง่าหรือเพียบพร้อมอยู่แต่ผู้เดียว แต่ต้องผสมผสานจนกลมกลืนกันอย่างเหมาะสม วลีที่ว่านี้ดูจะเป็นเพียงถ้อยคำภาษา แต่คิดดูสิครับว่า กลุ่มพลังประชาธิปไตยแตกกันมาแล้วกี่กลุ่ม ทะเลาะกันมาแล้วกี่ที่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการผสมงานแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเพื่อผลที่ใหญ่โต กว้างขวาง และลึกซึ้งขึ้น ทั้งหมดนี้คือการขาดภาวะ “ประกอบส่วน” แทบทั้งนั้น ผมจึงพอใจในวลีนี้ และรู้สึกขอบคุณที่ “ไม้หนึ่งฯ” ฝากเอาไว้ให้

๓. “ไม้หนึ่งฯ” ได้กลายเป็นหลักฐานแห่งชีวิตจริงของการต่อสู้ทางการเมืองจากนี้ไป ความสูญเสียครั้งนี้ใหญ่โตและน่าตระหนก แต่สำคัญกว่านั้นคือความรู้อันชัดแจ้งว่า ฝ่ายตรงข้ามคือใคร มีวัตถุประสงค์อย่างไร และใช้วิธีการอย่างไร ชีวิตอันมีค่าของ “ไม้หนึ่งฯ” คือ สัญญาณเตือนภัยที่สำคัญของนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกๆ คน จากนี้ไปเราทุกคนควรจะตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท หยุดคิดว่าวิกฤติครั้งนี้จะจบลงอย่างง่ายดาย หรือจะมีอัศวินม้าขาวที่ไหนมาปัดเป่าให้ทุกข์พ้นไปจากตัว เราต้องเร่งเสริมงานและจัดตั้งขบวนการประชาชนให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะเกิดการผลัดแผ่นดินโดยธรรมชาติด้วยซ้ำไป

“ไม้เอย ไม้หนึ่ง
คือที่พึ่งไม้สองและไม้สาม
จากไม้เดียวเทียวปลุกให้ลุกลาม
ไม้จึงตามโตเป็นป่าในนาคร
กระสุนปืนสาดใส่ได้เพียงต้น
แต่ป่าคนยังขยายไม่ถ่ายถอน
หยั่งรากลงทะลุหินและดินดอน
ถึงอาวรณ์ อาลัย แต่ไม่ยอม
ไม้เอย ไม้หนึ่ง
แกว่งไม้คลึงเบ้าก่อมาหล่อหลอม
ขาดดอกไม้สายลมยังดมดอม
คงกลิ่นหอมหฤหรรย์นิรันดร์เอย”


****************************  
http://www.khonthaiuk.info/forum/index.php?topic=27923.0

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

ตอนที่ 7 กู้ซากเฟอร์รีเกาหลีใต้ส่อยาว 2 เดือน พบศพแล้ว 50 ราย

กู้ซากเฟอร์รีเกาหลีใต้ส่อยาว 2 เดือน คาดเป็นไปได้ยากที่จะมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่ ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิต 50 ราย สูญหายกว่า 250 เมื่อวันที่ 20 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากเหตุเรือเฟอร์รีเซวอลของเกาหลีใต้อัปปางพร้อมผู้โดยสาร475 คน เมื่อเวลา 10.00 น. โดยระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้พบศพผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น หลังจากทีมนักประดาน้ำสามารุเข้าไปภายในซากเรือที่จมอยู่ใต้ทะเลได้ โดยล่าสุดจำนวนยอดผู็เสียชีวิตอยู่ที่ 50 ราย และมีผู้สูญหาย

สำนัก ข่าวบีบีซี เปิดเผยรายงานอ้าง ชินวอนนัม หัวหน้าศูนย์จัดการเหตุฉุกเฉินเกาหลีใต้ ระบุว่า ปฏิบัติการกู้ซากเรือเฟอร์รีเซวอล ซึ่งอับปางลงพร้อมผู้โดยสารรวม 475 คน อาจใช้เวลานานถึง 2 เดือน พร้อมคาดว่าเป็นไปได้ยากที่ผู้โดยสารที่ยังคงติดอยู่จะยังมีชีวิตอยู่

ด้านบรรดาญาติผู้โดยสารเริ่มให้ตัวอย่างดีเอ็นเอแก่เจ้าหน้าที่เพื่อใช้ในการพิสูจน์ยืนยันตัวตนของผู้เสียชีวิต

นอกจากนี้ญาติผู้โดยสารที่ยังสูญหาย ซึ่ง ที่พักพิงอยู่ภายในโรงยิมในเมืองจินโด ต่างเรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีใต้ และเจ้าหน้าที่เร่งมือ และเพิ่มความพยายามในการค้นหาให้มากขึ้น รวมถึงเรียกร้องให้แจ้งข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชน

ขณะที่นาย ลีจุนซุก กัปตันเรือ ได้ถูกตั้ง 5 ข้อหาหนัก ซึ่งรวมถึงการละทิ้งหน้าที่เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากเรือลำอื่น ตลอดจนล้มเหลวที่จะแนะให้ผู้โดยสารหนีเอาตัวรอด ซึ่งหากตัดสินว่ามีความผิดจริงอาจถูกจำคุก

“กัปตันลีจุนซุกถูกตั้งข้อหาฐานเป็นเหตุให้เรือเซวอลล่ม เนื่องจากล้มเหลวที่ชะลอเรือลงขณะแล่นผ่านเส้นทางแคบและหักเลี้ยวมากเกินไป”อัยการระบุพร้อมตั้งข้อหาลูกเรืออีก 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ เจ้าหน้าที่เดินเรือที่3 ที่บังคับเรือขณะเกิดเหตุ




เจ้าหน้าที่เก็บดีเอ็นเอจากญาติผู้โดยสาร

ตอนที่ 5 รอง ผอ.ร.ร.แขวนคอตาย


เมื่อวันที่ 18 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายคัง มินกยู วัย 52 ปี รองผู้อำนวยการ โรงเรียนมัธยมดันวอน ของเกาหลีใต้ ได้ผูกคอตายใต้ต้นไม้ ใกล้ๆกับโรงยิมจินโด โดย นายคัง มินกยูเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุเรือเฟอร์รีข้ามฟากเซวอลอัปปางและยังคงมีนักเรียนของโรงเรียนที่โดยสารเรือดังกล่าวระหว่างเดินทางไปทัศนศึกษาเสียชีวิต และสูญหาย

ครูของโรงเรียนกล่าวว่า นายคังมินกยูเสียใจมากและรู้สึกผิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และครอบครัวของนักเรียนต่างระบายความโกรธแค้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปที่เขา

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของคังมินกยู ทั้งนี้มีรายงานว่านายคัง มินกยู ได้ถูกช่วยเหลือจากเหตุเรืออัปปางเป็นกลุ่มแรกๆ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวล่าสุดอยู่ที่ 28 ศพ และสูญหาย 268 ราย


สาว-หนุ่มเกาหลีใจเด็ด สละชีวิตช่วยผู้โดยสารเรือเฟอร์รี่อับปาง


ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและตะโกนขอความช่วยเพื่อให้รอดพ้นจากความตายกรณีเรือเฟอร์รี่เกาหลีใต้ อับปางลงเมื่อวานนี้ พร้อมผู้โดยสารจำนวน 475 คน สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานถึง"ฮีโร"ของเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งได้สละชีวิตของตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ในเหตุการณ์เรือล่มครั้งใหญ่สุดของเกาหลีใต้นับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา
"ปาร์ค จี-ยอง" ลูกเรือสาววัย 22 ปี ของเรือโดยสารเซโวล ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือบรรดาผู้โดยสารบนชั้นที่ 3 และชั้นที่ 4 ของเรือ ได้สวมใส่เสื้อชูชีพและหาทางออกจากเรือที่กำลัง อับปางลงโดยเร็วที่สุด
ผู้รอดชีวิตรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ฉันถามปาร์ค จี-ยอง ว่าทำไมเธอไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพ เธอบอกว่า ต้องช่วยเหลือผู้โดยสารทุกคนให้ออกจากเรือได้เสียก่อน จึงจะออกจากเรือตามไป
ผู้รอดชีวิตรายนี้ยังบอกว่า ลูกเรือคนอื่นๆ รวมทั้งปาร์ค จี-ยอง ขอเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากเรือ
คิม ยอง ฮัง ผู้รอดชีวิตวัย 58 ปี ระบุว่า ปาร์คผลักผู้โดยสารที่มีอาการช็อคให้ตรงไปยังทางออกเมื่อระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นมาถึงหน้าอกของเธอ และเมื่อเรือพลิกคว่ำลง ผู้โดยสารมาออกกันอยู่ที่ประตูทางออก แต่มีอยู่คนหนึ่งได้ร่วงลงไปจากประตูทางออก ปาร์คได้ดึงผู้โดยสารคนนั้นได้ในที่สุด
"ปาร์ค จี-ยอง" เข้าร่วมงานกับบริษัทเรือเฟอร์รีเมื่อปี 2012 เธอนำเงินเดือนไปช่วยเหลือครอบครับที่มีฐานะยากจนของเธอ เมื่อร่างของเธอถูกนำส่งมาถึงโรงพยาบาล แม่ของเธอโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทิ้งพวกเราไปแล้ว
ขณะเดียวกัน "จอง ชา วอง" หนุ่มนักเรียนมัธยมวัย 17 ปี ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของเหตุการณ์ครั้งนี้เช่นกัน เขาเสียชีวิตหลังจากช่วยให้เพื่อนหลายคนได้หนีเอาตัวรอดจากเรือที่กำลังล่ม มีรายงานว่าเขาเสียชีวิต เนื่องจากทนความหนาวเย็นของน้ำไม่ไหว  หลังจากสละเสื้อชูชีพให้เพื่อนที่กำลังจมน้ำ และกระโดดลงน้ำเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นๆ ด้วย 
 

แปลจาก http://www.koreaherald.com

ตอน 2 สาวหนุ่มเกาหลีใจเด็ด สละชีวิตช่วยผู้โดยสารเรือเฟอร์รี่อับปาง



 (2) ตำรวจจับกัปตันเรือเกาหลีอัปปางแล้ว เจ้าตัวระบุคลื่นลมแรง-น้ำแรงจึงให้ผู้โดยสารอยู่กับที่นาน 40 นาทีหลังเรือเริ่มจม ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิต 29 ราย


เมื่อวันที่ 19 เม.ย.สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเกาหลีใต้ได้จับกุม นายลี จุน-ซก กัปตันเรือเฟอร์รีเซวอลที่อัปปางลงนอกชายฝั่งเมื่อวันที่ 16 เม.ย. รวมทั้งลูกเรืออีก 2 ราย โดยทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาละเลยและละเมิดกฎหมายพาณิชย์นาวีซึ่งกำหนดให้ผู้เป็นกัปตันเรือต้องดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร นายลีตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่สั่งให้ผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่นานกว่า

นายลีตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่สั่งให้ผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่นานกว่า 40 นาที หลังเรือเฟอร์รีได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือและได้เริ่มจมลง โดยนายลีระบุว่า ขณะนั้นทะเลมีคลื่นลมแรงมาก และน้ำเย็น เกรงว่าผู้โดยสารจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปไกลและอาจเป็นอันตราย

ทั้งนี้นายลียืนยันว่า ไม่ได้ดื่มสุรา และขณะเกิดเหตุเขาไม่ได้ทำหน้าที่ควบคุมเรือ เนื่องจากพึ่งเดินกลับมาห้องควบคุม หลังไปที่ห้องนอนชั่วครู่ด้วยเหตุผลส่วนตัว โดยขณะเกิดเหตุได้มอบหมายหน้าที่ควบคุมเรือแก่ผู้ช่วยที่ 3  นายลีได้กล่าวขอโทษผู้โดยสารและครอบครัวของผู้เสียชีวิตและสูญหายจากเหตุเรืออัปปาง

ด้านสื่อเกาหลีใต้ตรวจสอบพบว่า นายลีได้ถูกช่วยชีวิตมาพร้อมผู้โดยสารที่รอดชีวิตชุดแรกๆ โดยเขาไม่ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นกัปตันเรือ ข้อมูลการเดินเรือของกระทรวงพาณิชย์นาวีเกาหลีใต้ พบว่า เรือเฟอร์รีหักเลี้ยวอย่างกะทันหันก่อนที่จะส่งสัญญาณแจ้งเหตุ

ขณะที่การค้นหาผู้โดยสารที่สูญหายยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยทางการเกาหลีใต้ยืนยันยอดผู้เสียชีวิตแล้ว 29 ราย และยังสูญหายอีก 273 คน ทั้งนี้ทีมนักประดาน้ำได้เจาะรูที่ตัวเรือหลายจุด เพื่ออัดอ็อกซิเจนเข้าไปภายในเนื่องจากจากเชื่อว่าอาจมีผู้รอดชีวิตอยู่

ทั้งนี้ทีมนักประดาน้ำได้เจาะรูที่ตัวเรือหลายจุด เพื่ออัดอ็อกซิเจนเข้าไปภายในเนื่องจากจากเชื่อว่าอาจมีผู้รอดชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีการนำตาข่ายมาคลุมรอบๆ เรือเฟอร์รีเพื่อป้องกันมิให้ศพที่ติดอยู่ภายในหลุดลอยออกไป

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องและตะโกนขอความช่วยเพื่อให้รอดพ้นจากความตายกรณีเรือเฟอร์รี่เกาหลีใต้ อับปางลงเมื่อวานนี้ พร้อมผู้โดยสารจำนวน 475 คน สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานถึง"ฮีโร"ของเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งได้สละชีวิตของตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ในเหตุการณ์เรือล่มครั้งใหญ่สุดของเกาหลีใต้นับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา

"ปาร์ค จี-ยอง" ลูกเรือสาววัย 22 ปี ของเรือโดยสารเซโวล ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือบรรดาผู้โดยสารบนชั้นที่ 3 และชั้นที่ 4 ของเรือ ได้สวมใส่เสื้อชูชีพและหาทางออกจากเรือที่กำลัง อับปางลงโดยเร็วที่สุด

ผู้รอดชีวิตรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ฉันถามปาร์ค จี-ยอง ว่าทำไมเธอไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพ เธอบอกว่า ต้องช่วยเหลือผู้โดยสารทุกคนให้ออกจากเรือได้เสียก่อน จึงจะออกจากเรือตามไป
ผู้รอดชีวิตรายนี้ยังบอกว่า ลูกเรือคนอื่นๆ รวมทั้งปาร์ค จี-ยอง ขอเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากเรือ

คิม ยอง ฮัง ผู้รอดชีวิตวัย 58 ปี ระบุว่า ปาร์คผลักผู้โดยสารที่มีอาการช็อคให้ตรงไปยังทางออกเมื่อระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นมาถึงหน้าอกของเธอ และเมื่อเรือพลิกคว่ำลง ผู้โดยสารมาออกกันอยู่ที่ประตูทางออก แต่มีอยู่คนหนึ่งได้ร่วงลงไปจากประตูทางออก ปาร์คได้ดึงผู้โดยสารคนนั้นได้ในที่สุด
"ปาร์ค จี-ยอง" เข้าร่วมงานกับบริษัทเรือเฟอร์รีเมื่อปี 2012 เธอนำเงินเดือนไปช่วยเหลือครอบครับที่มีฐานะยากจนของเธอ เมื่อร่างของเธอถูกนำส่งมาถึงโรงพยาบาล แม่ของเธอโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทิ้งพวกเราไปแล้ว


ขณะเดียวกัน "จอง ชา วอง" หนุ่มนักเรียนมัธยมวัย 17 ปี ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นฮีโร่ของเหตุการณ์ครั้งนี้เช่นกัน เขาเสียชีวิตหลังจากช่วยให้เพื่อนหลายคนได้หนีเอาตัวรอดจากเรือที่กำลังล่ม มีรายงานว่าเขาเสียชีวิต เนื่องจากทนความหนาวเย็นของน้ำไม่ไหว  หลังจากสละเสื้อชูชีพให้เพื่อนที่กำลังจมน้ำ และกระโดดลงน้ำเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นๆ ด้วย 

 


แปลจาก http://www.koreaherald.com

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

4 แผนการเปิดทางนายกคนกลาง




 
      “นายกมาตรา 7” “นายกพระราชทาน” “นายกคนกลาง” คำเหล่านี้ล้วนวนเวียนอยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองไทย ที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลพยายามนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของม็อบ กปปส. นักวิชาการ คนมีหน้ามีตาในสังคมอยางคนชั้นกลาง หรือชั้นสูง รวมไปถึงกลุ่มองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ก็ถูกเชื่อมโยงว่ามีความต้องการเช่นเดียวกัน

      ในขณะที่กลุ่มเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยล้วนปฏิเสธแนวทางดังกล่าว และพยายามแสดงออกซึ่งสิทธิในการรักษารัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย หากจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบอะไรบางอย่างที่สำคัญระดับประเทศ เช่นคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีเอง ก็ควรที่จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ใช่การตัดสินใจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคม ที่จะเอาใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือบริหารประเทศได้โดยไม่ผ่านการตัดสินใจของ ประชาชน

      หนทางต่อจากนี้ จึงเป็นความพยายามของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ที่มีอำนาจทั้งในศูนย์กลางอำนาจรัฐ อย่างเช่นกลุ่มองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือจะเป็นกลุ่มอำนาจนอกศูนย์กลาง อย่างเช่น ม็อบ กปปส.หรือนายทุนที่ให้การสนับสนุนการล้มรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย

      อะไรคือ เงื่อนไขการได้มาซึ่งนายกคนกลาง อันเป็นความปราถนาของขบวนการล้มรัฐบาล มาตรา 7 วันนี้ เว็บไซต์ ispacethailand.com จะพาไปดู 4 เงื่อนไขในปัจจุบัน ของการได้มาซึ่งนายกคนกลางกัน




1.นายกรัฐมนตรีถูกชี้มูลจำนำข้าว

      ปัญหาเกี่ยวกับนโยบายจำนำข้าว ยังเป็นจุดที่รัฐบาลประสบสภาวะลำบาก เนื่องด้วยปัจจุบันถูกองค์กรอิสระอย่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยพุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยเหตุผลว่าปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น

      โดยเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเข้าชี้แจงข้อกล่าวต่อ ป.ป.ช.และได้ส่งเอกสารเพิ่มเติมกว่า 200 หน้า และเพิ่มพยาน 11 ปาก[1] เพื่อชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ว่าไม่ได้เกิดการทุจริตในโครงการดังกล่าว และชาวนาได้ประโยชน์จากโครงการนี้ หลังจากนี้ ในเดือน เม.ย.ก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.พิจารณา หากข้อกล่าวหามีมูล นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่รักษาการ แล้วตั้งรองนายกฯ รักษาราชการแทน แต่หากไม่มีมูล ก็ยกคำร้อง

      ต่อด้วยช่วงปลายเดือน เม.ย.ตามข้างต้น หากนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็อาจมีการยื่นตีความว่ารัฐบาลรักษาการสิ้นสภาพ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของรองประธานวุฒิสภา เสนอชื่อนายกคนกลาง หรืออาจจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่ารัฐบาลยังไม่สิ้นสภาพรักษาการ ก็จะไม่เกิดนายกคนกลาง หากศาลรัฐธรรมนูญตีความตามวิธีการนี้

      และในช่วงเดือน พ.ค.ก็จะเป็นหน้าที่ของวุฒิสภาในการพิจารณาถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจกาตำแหน่ง ซึ่งต้องใช้เสียงมากกว่า 3 ใน 5 ถ้าหากเป็นไปตามแนวทางนี้ คณะรัฐมนตรีก็จะพ้นด้วย ทำให้รัฐบาลเสี่ยงต่อการถูกตีความว่าสิ้นสภาพ นำมาซึ่งสุญญากาศทางการเมือง และนายกคนกลาง



 
2.การโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี

      หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รัฐบาลคืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคง แห่งชาติ (สมช.) ภายใน 45 วัน โดยศาลชี้ว่าใช้ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฏหมาย แม้กระบวนการจะถูกต้อง[2] ก็เป็นปัญหาอันหนักอึ้งของรัฐบาล เนื่องด้วยหากกล่าวถึงนายถวิล ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลชัดเจน ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งนี้ในช่วงสมัยรัฐบาลอภิสิทธ์ และเคยขึ้นเวทีม็อบ กปปส.

      หลังศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งดังกล่าว กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาสรรหา เช่น นายไพบูลย์ นิติตะวัน พร้อมด้วย ส.ว.รวม 27 คน ก็ได้ยื่นคำร้องเอาไว้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้เพื่อพิจารณา ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรี กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญจริง ก็จะส่งผลให้การดำรงตำแหน่งนายกรักษาการสิ้นสุดลงไป ซึ่งจะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งก็จะนำมาสู่สุญญากาศทางการเมือง แล้วนำไปสู่นายกคนกลางในที่สุด




 
3.ถูกกล่าวหาว่าแบ่งแยกประเทศ

      ห้วงเดือน ม.ค.-ก.พ.ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของความขัดแย้งทางการเมืองไทยจุดหนึ่งก็ว่าได้ หลังประชาชนหลายฝ่ายมองว่ากลุ่มตนถูกริดรอนสิทธิ จนถึงขั้นออกอาการน้อยใจว่าทุกอย่างในประเทศนี้ 2 มาตรฐานแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคำตัดสินของศาลแพ่งว่าการชุมนุมของ กปปส.เป็นไปอย่างสงบ สันติอหิงสา ทั้งๆ ที่มีการขัดขวางการเลือกตั้งและปิดสถานที่ราชการ ในขณะที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นม็อบที่สร้างความรุนแรง[3] บางกลุ่มถึงขั้นขอแบ่งแยกประเทศกันเลย เพราะไม่มีความยุติธรรมสำหรับประชาชนทุกคนในประเทศนี้

      โดยได้มีผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไว้ว่าพรรคเพื่อไทยมีส่วนในการสร้างกระแส แบ่งแยกประเทศ เพราะกลุ่มเหล่านั้นล้วนเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในกรณีของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย[4] ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่ได้กำหนดโทษเกี่ยวกับการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ โดยหากผู้กระทำเป็นพรรคการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญอาจสั่งยุบพรรคและเพิ่กถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและ กรรมการบริหารพรรคทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเพื่อไทย ก็จะทำให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพไปด้วย และก็นำไปสู่สภาวะสุญญากาศเพื่อหานายกคนกลาง




 

4.รัฐประหาร


     การตัดวงจรทางการเมือง ตลอด 82 ปี ของประชาธิปไตยในไทย ทางหลักที่ได้ผล คือ การทำการรัฐประหารโดยฝ่ายทหาร เป็นจำนวนกว่า 18 ครั้ง[5] ที่รัฐประหารเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา โดยเหตุผลหลักของการทำรัฐประหาร คือ การคอร์รัปชั่น และนักวิชาการหลายฝ่ายก็สรุปแล้วว่าไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง แต่ยิ่งสร้างความขัดแย้งและเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นอีก เพราะการรัฐประหารนั้นแหละคือ การคอร์รัปชั่นอำนาจของประชาชน

     ยิ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ประชาชนแบ่งออกกันเป็นสองฝ่ายตามความคิดทางการเมืองของกลุ่มตน และยังต่อสู้กันตามระบอบประชาธิปไตย เช่น การแลกเปลี่ยนถกเถียง การใช้พื้นที่ในการชุมนุมประท้วง แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่หากมีการทำรัฐประหารก็จะเป็นการเลือกข้างโดยชัดเจน เพราะทหารก็เป็นหนึ่งคู่กรณีขัดแย้งในปัจจุบัน

     ขณะที่ อีกฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล เช่น ม็อบ กปปส.ก็ให้การสนับสนุนการทำรัฐประหารของทหาร เพื่อเปิดทางให้กับนายกคนกลาง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายในทางการเมือง แต่เป็นวิธีที่ยากในการปฏิบัติของทหาร เพราะต้องทนกับแรงเสียดทานกระแสโลก

     จากที่กล่าวมาทั้ง 4 แผนการ ในการเปิดทางสู่นายกคนกลางข้างต้น หากวิเคราะห์ถึงแนวทางใดที่เป็นไปได้มากที่สุด ทางเว็บไซต์ ispacethailand.com มองว่า 3 แผนการแรก เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากขในการเปิดทางให้นายกคนกลาง เพราะถ้าตีความตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐แล้วไม่มีทางเป็นไปได้ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

     เนื่องจาก การเสนอชื่อนายกฯ คนกลาง หรือนายกฯ มาตรา ๗ โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา ๗ ซึ่งมีความว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นั้นย่อมขัดกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗๑ และ ๑๗๒ ซึ่งระบุบังคับไว้อย่างชัดเจนให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

     ดังนั้นความพยายามในการสร้างกระแสแต่งตั้งนายกฯ คนกลาง หรือ นายกฯ มาตรา ๗ จึงเป็นไปไม่ได้ หากรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ยังคงบังคับใช้อยู่[6] ทางเดียวที่จะทำได้ ก็คือ การรัฐประหารแล้วฉีกรัฐธรรมนูญนี้ทิ้งเท่านั้น



[1] http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9570000036500&keepThis=true&TB_iframe=true&height=650&width=850&caption=Manager+Online+-+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87
[2] http://www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9570000026403
[3] http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/407065
[4] http://www.youtube.com/watch?v=QlIrx4Juo5M
[5] http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/344313
[6] โพสต์ทูเดย์, http://bit.ly/1h5Gixt

Source  by ::  http://www.ispacethailand.com/political/2884.html

ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.vvoicetv.com/knowledge-id16116.html
เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา

ขอบคุณภาพการ์ตูนเซีย