วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

อาลัย..ไม้หนึ่ง ก.กุนที




อาลัย..ไม้หนึ่ง ก.กุนที
โดยจักรภพ เพ็ญแข

เพื่ออำลาอาลัย “ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี” อย่างเหมาะสม ผมขอเล่าถึงสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นคุณประโยชน์ของนักต่อสู้ท่านนี้ตามที่ผมได้รู้มาเป็นการส่วนตัว ผมมั่นใจว่า “ไม้หนึ่งฯ” ไม่ต้องการให้แนวคิดและปรัชญาที่เขาบรรจงจารึกเอาไว้ด้วยคำพูดและตัวอักษรต้องสลายหายลับไปกับร่างกาย ใครที่รักอาลัยในตัวเขา ก็ควรที่จะพิจารณาช่วยกันนำคุณค่าเหล่านี้เผยแผ่ออกไปให้กว้างขวาง

๑. “ไม้หนึ่งฯ” คือผู้ชูธงในการปฏิวัติวัฒนธรรมในขบวนประชาธิปไตย แน่นอนว่าเรามีผู้คนอีกมากมายในขบวนนั้น แต่เขาคือสมาชิกระดับนำของกลุ่มที่เหนียวแน่นและหนักแน่นตั้งแต่วันที่ขึ้นเวทีด้วยผมทรงสกินเฮดเป็นต้นมา ผมไม่ได้ยินใครเน้นย้ำเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรมมากนัก ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมและการแสดงออกกันมากกว่า แนวคิดด้านนี้ของ “ไม้หนึ่งฯ” เป็นแนวรบที่สำคัญที่อาจจะยิ่งกว่าการสู้รบชนิดอื่นๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องห่อหุ้มการต่อสู้ชนิดอื่นๆ ไว้ให้มั่นคง เพราะวิกฤติเมืองไทยเกิดขึ้นจากแนวคิดอันล้าหลัง และวัฒนธรรมความคิดที่ด้อยพัฒนากว่าโลก หากเราไม่ทำงานด้านนี้ควบคู่ไปด้วย สังคมไทยก็จะเด้งกลับมาที่เก่า เคยยึดมั่นกับลัทธิบูชาบุคคลขนาดคลั่งไคล้มาอย่างไร ก็จะแค่เปลี่ยนจากคนหนึ่งมาเป็นอีกคนหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ได้พัฒนาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง ขึ้นเลย แผ่นดินที่หนึ่งหรือแผ่นดินที่สองจะโง่เขลาเท่ากัน ถ้าคนบนแผ่นดินไม่ตระหนักรู้ว่าความเป็นคนของตนคืออะไร ผมคิดว่าแนวคิดที่ “ไม้หนึ่งฯ” เน้นย้ำหนักหนาในการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นมรดกสำคัญที่ต้องสานทอกันต่อไป

๒. “ไม้หนึ่งฯ” เป็นผู้รุ่มรวยถ้อยคำ รักภาษา และใช้ภาษาอย่างระมัดระวังเสมอ แต่วลีที่ “ไม้หนึ่งฯ” ใช้บ่อย และผมก็ชอบใจจนนำมาใช้ตามเขาด้วยคือ “ประกอบส่วน” “ไม้หนึ่งฯ” มักใช้วลี ประกอบส่วน ในการทำงานของขบวนประชาธิปไตยเสมอๆ ความหมายก็คือ การทำงานของฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่มีใครเด่นเป็นสง่าหรือเพียบพร้อมอยู่แต่ผู้เดียว แต่ต้องผสมผสานจนกลมกลืนกันอย่างเหมาะสม วลีที่ว่านี้ดูจะเป็นเพียงถ้อยคำภาษา แต่คิดดูสิครับว่า กลุ่มพลังประชาธิปไตยแตกกันมาแล้วกี่กลุ่ม ทะเลาะกันมาแล้วกี่ที่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการผสมงานแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเพื่อผลที่ใหญ่โต กว้างขวาง และลึกซึ้งขึ้น ทั้งหมดนี้คือการขาดภาวะ “ประกอบส่วน” แทบทั้งนั้น ผมจึงพอใจในวลีนี้ และรู้สึกขอบคุณที่ “ไม้หนึ่งฯ” ฝากเอาไว้ให้

๓. “ไม้หนึ่งฯ” ได้กลายเป็นหลักฐานแห่งชีวิตจริงของการต่อสู้ทางการเมืองจากนี้ไป ความสูญเสียครั้งนี้ใหญ่โตและน่าตระหนก แต่สำคัญกว่านั้นคือความรู้อันชัดแจ้งว่า ฝ่ายตรงข้ามคือใคร มีวัตถุประสงค์อย่างไร และใช้วิธีการอย่างไร ชีวิตอันมีค่าของ “ไม้หนึ่งฯ” คือ สัญญาณเตือนภัยที่สำคัญของนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกๆ คน จากนี้ไปเราทุกคนควรจะตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท หยุดคิดว่าวิกฤติครั้งนี้จะจบลงอย่างง่ายดาย หรือจะมีอัศวินม้าขาวที่ไหนมาปัดเป่าให้ทุกข์พ้นไปจากตัว เราต้องเร่งเสริมงานและจัดตั้งขบวนการประชาชนให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะเกิดการผลัดแผ่นดินโดยธรรมชาติด้วยซ้ำไป


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.khonthaiuk.info/forum/index.php?topic=27926.0



จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair

April 24, 2014

มรดกของ ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี


ผมรู้ข่าวการฆาตกรรม “ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี” หรือ “กมล ดวงผาสุก” ของเราระหว่างที่ผมเดินทางโดยรถไฟจากย่านชินจูกุในกรุงโตเกียว กลับมาที่สถานีโตโกชิ-กินซ่า ข่าวร้ายนั้นทำให้รู้สึกว่าหัวใจหนักกว่าปกติ บรรยากาศรอบตัวดูจะหม่นหมองลงไปอย่างฉับพลัน ผมตระหนักดีว่า วิกฤติการณ์การเมืองครั้งนี้ ใหญ่หลวงกว่าทุกคราว เพราะคือเดิมพันว่า คนไทยธรรมดาอย่างเราท่าน มีส่วนแบ่งขนาดไหนในความเป็นเจ้าของประเทศไทย โดยต่อสู้ผ่านการปกปักรักษากลไกประชาธิปไตยต่างๆ ด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ในขณะที่ระบอบอำมาตย์ศักดินาก็คิดด้วยมิจฉาทิฏฐิว่าจะมีคนคิดโค่นล้มทำลายตน จึงระดมความชั่วร้ายทุกชนิดมาค้ำฐานะอันคลอนแคลนของตนไว้สุดกำลัง โดยไม่รู้เลยว่าพลเมืองก้าวหน้าเขาต้องการเพียงสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐานของเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดทะเยอทะยานไปกว่านั้นเลย แต่ถึงรู้อย่างนั้น ผมก็ยังเสียใจและเศร้าใจอย่างบรรยายไม่ถูก เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับ “ไม้หนึ่งฯ” ผู้เป็นแกนนำสำคัญในทางความคิด

เพื่ออำลาอาลัย “ไม้หนึ่ง ก.กุณฑี” อย่างเหมาะสม ผมขอเล่าถึงสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นคุณประโยชน์ของนักต่อสู้ท่านนี้ตามที่ผมได้รู้มาเป็นการส่วนตัว ผมมั่นใจว่า “ไม้หนึ่งฯ” ไม่ต้องการให้แนวคิดและปรัชญาที่เขาบรรจงจารึกเอาไว้ด้วยคำพูดและตัวอักษรต้องสลายหายลับไปกับร่างกาย ใครที่รักอาลัยในตัวเขา ก็ควรที่จะพิจารณาช่วยกันนำคุณค่าเหล่านี้เผยแผ่ออกไปให้กว้างขวาง

๑. “ไม้หนึ่งฯ” คือผู้ชูธงในการปฏิวัติวัฒนธรรมในขบวนประชาธิปไตย แน่นอนว่าเรามีผู้คนอีกมากมายในขบวนนั้น แต่เขาคือสมาชิกระดับนำของกลุ่มที่เหนียวแน่นและหนักแน่นตั้งแต่วันที่ขึ้นเวทีด้วยผมทรงสกินเฮดเป็นต้นมา ผมไม่ได้ยินใครเน้นย้ำเรื่องการปฏิวัติวัฒนธรรมมากนัก ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมและการแสดงออกกันมากกว่า แนวคิดด้านนี้ของ “ไม้หนึ่งฯ” เป็นแนวรบที่สำคัญที่อาจจะยิ่งกว่าการสู้รบชนิดอื่นๆ หรืออย่างน้อยก็ต้องห่อหุ้มการต่อสู้ชนิดอื่นๆ ไว้ให้มั่นคง เพราะวิกฤติเมืองไทยเกิดขึ้นจากแนวคิดอันล้าหลัง และวัฒนธรรมความคิดที่ด้อยพัฒนากว่าโลก หากเราไม่ทำงานด้านนี้ควบคู่ไปด้วย สังคมไทยก็จะเด้งกลับมาที่เก่า เคยยึดมั่นกับลัทธิบูชาบุคคลขนาดคลั่งไคล้มาอย่างไร ก็จะแค่เปลี่ยนจากคนหนึ่งมาเป็นอีกคนหนึ่งเท่านั้น โดยไม่ได้พัฒนาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง ขึ้นเลย แผ่นดินที่หนึ่งหรือแผ่นดินที่สองจะโง่เขลาเท่ากัน ถ้าคนบนแผ่นดินไม่ตระหนักรู้ว่าความเป็นคนของตนคืออะไร ผมคิดว่าแนวคิดที่ “ไม้หนึ่งฯ” เน้นย้ำหนักหนาในการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นมรดกสำคัญที่ต้องสานทอกันต่อไป

๒. “ไม้หนึ่งฯ” เป็นผู้รุ่มรวยถ้อยคำ รักภาษา และใช้ภาษาอย่างระมัดระวังเสมอ แต่วลีที่ “ไม้หนึ่งฯ” ใช้บ่อย และผมก็ชอบใจจนนำมาใช้ตามเขาด้วยคือ “ประกอบส่วน” “ไม้หนึ่งฯ” มักใช้วลี ประกอบส่วน ในการทำงานของขบวนประชาธิปไตยเสมอๆ ความหมายก็คือ การทำงานของฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่มีใครเด่นเป็นสง่าหรือเพียบพร้อมอยู่แต่ผู้เดียว แต่ต้องผสมผสานจนกลมกลืนกันอย่างเหมาะสม วลีที่ว่านี้ดูจะเป็นเพียงถ้อยคำภาษา แต่คิดดูสิครับว่า กลุ่มพลังประชาธิปไตยแตกกันมาแล้วกี่กลุ่ม ทะเลาะกันมาแล้วกี่ที่ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการผสมงานแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเพื่อผลที่ใหญ่โต กว้างขวาง และลึกซึ้งขึ้น ทั้งหมดนี้คือการขาดภาวะ “ประกอบส่วน” แทบทั้งนั้น ผมจึงพอใจในวลีนี้ และรู้สึกขอบคุณที่ “ไม้หนึ่งฯ” ฝากเอาไว้ให้

๓. “ไม้หนึ่งฯ” ได้กลายเป็นหลักฐานแห่งชีวิตจริงของการต่อสู้ทางการเมืองจากนี้ไป ความสูญเสียครั้งนี้ใหญ่โตและน่าตระหนก แต่สำคัญกว่านั้นคือความรู้อันชัดแจ้งว่า ฝ่ายตรงข้ามคือใคร มีวัตถุประสงค์อย่างไร และใช้วิธีการอย่างไร ชีวิตอันมีค่าของ “ไม้หนึ่งฯ” คือ สัญญาณเตือนภัยที่สำคัญของนักสู้เพื่อประชาธิปไตยทุกๆ คน จากนี้ไปเราทุกคนควรจะตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท หยุดคิดว่าวิกฤติครั้งนี้จะจบลงอย่างง่ายดาย หรือจะมีอัศวินม้าขาวที่ไหนมาปัดเป่าให้ทุกข์พ้นไปจากตัว เราต้องเร่งเสริมงานและจัดตั้งขบวนการประชาชนให้มีความสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะเกิดการผลัดแผ่นดินโดยธรรมชาติด้วยซ้ำไป

“ไม้เอย ไม้หนึ่ง
คือที่พึ่งไม้สองและไม้สาม
จากไม้เดียวเทียวปลุกให้ลุกลาม
ไม้จึงตามโตเป็นป่าในนาคร
กระสุนปืนสาดใส่ได้เพียงต้น
แต่ป่าคนยังขยายไม่ถ่ายถอน
หยั่งรากลงทะลุหินและดินดอน
ถึงอาวรณ์ อาลัย แต่ไม่ยอม
ไม้เอย ไม้หนึ่ง
แกว่งไม้คลึงเบ้าก่อมาหล่อหลอม
ขาดดอกไม้สายลมยังดมดอม
คงกลิ่นหอมหฤหรรย์นิรันดร์เอย”


****************************  
http://www.khonthaiuk.info/forum/index.php?topic=27923.0