พี่น้องเสื้อแดงครับ
ผมนะยิ่งวันยิ่งเห็นพี่น้องเสื้อแดงเต็มไปหมด เดินไปไหนมาไหนก็เห็นและรู้สึกได้ทันทีว่าเสื้อแดงอยู่ใกล้ๆตัวทุกๆหนทุกๆแห่งจริง ผมไม่รู้จะบอกความรู้สึกของผมว่ารู้สึกภาคภูมิใจอย่างไรไม่ถูก เพราะผมทราบดีว่า การที่เราคนไทยไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ตัดสินใจเอาเสื้อแดงมาสวมใส่แล้ว
มันเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งนั้น และทั้งหมดของคนเสื้อแดงต่างรู้ความจริงของทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างท่องแท้ และรู้ดีว่า การมาร่วมกับคนเสื้อแดงต่อสู้ในครั้งนี้อย่างไม่ย่อท้อหรือเหน็ดเหนื่อยหรือหวาดกลัวต่ออะไรต่ออะไร แถมยังยอมร่วมกับทุกๆอย่างเพื่อให้ชาติบ้านเมืองและชีวิตปากท้องของตัวเองได้หลุดพ้นจากการโหยหิว ลำบากยากแค้นลำเค็ญในทุกๆเรื่อง หลุดพ้นการการเอารัดเอาเปรียบ หลุดพ้นจากความจอมปลอมตอแหลทุกๆอย่าง หลุดพ้นจากความเหี้ยมโหดทุกๆอย่าง
หลุดพ้นจากความเป็นอยู่บนความตอแหลที่อ้ายพวกสัตว์นรกมันสร้างภาพจอมปลอมเพื่อหาแดกยัดห่าอยู่บนหยาดเหงื่อของเราทุกๆเม็ดที่ไหลรินจากความเหนื่อยยากของเราทุกๆคน และที่สำคัญเราทุกๆคนต่างมีจุดประสงค์เดียวกันคือทำให้ชาติบ้านเมือง ชีวิตปากท้องของเราคนไทยได้กินอิ่มนอนหลับอย่างสบายๆบนแผ่นดินของเราทุกๆคน ลูกหลานเราต่างอยู่บนความจริง และมีแต่ความเจริญก้าวหน้า
มันยากจริงๆที่เมื่อตัดสินใจใส่เสื้อแดง มันกลับไม่ใช่แค่ใส่เสื้ออย่างเดียว แต่ทั้งกายและทั้งใจและความคิดของเรากลับสร้างแต่อุดมการณ์มุ่งมั่นที่จะผลักดันแต่สิ่งที่ดีที่สุดแก่ชีวิตของเรา ปากท้องของเรา และที่สำคัญต่อชาติบ้านเมืองของเรา
ผมเชื่อว่าเราทุกๆคนก็เพิ่งจะได้รับรู้กันว่า แท้จริงประเทศของเราเต็มไปด้วยคนไทยที่มีหัวใจรักชาติบ้านเมืองของเราและเต็มไปด้วยคนไทยผู้อยากให้ชาติบ้านเมืองเต็มไปด้วยความเข้มแข็งรุ่งเรืองเจริญก้าวหน้าอย่างถาวร และเป็นชาติบ้านเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกใบนี้จริงๆ
เวลาที่ผมเห็นทางอุดรเต็มไปด้วยคนเสื้อแดง เห็นจังหวัดปทุมเต็มไปด้วยคนเสื้อแดง เห็นทางอีสานเต็มไปด้วยเสื้อแดง เห็นที่โน่นที่นี่เต็มไปด้วยเสื้อแดง ผมมั่นใจทันทีว่า ประเทศไทยนี้คงจะอีกไม่นานนักทุกๆอย่างที่คนไทยฝันเอาไว้จะต้องปรากฏผลแก่ชีวิตของคนไทยให้หลุดจากวงจรจังไรแน่ๆ
ยิ่งวันยิ่งเห็นคนไทยเข้าใจในทุกๆเรื่องอย่างท่องแท้ แถมค้นหากันเองเพื่อจะได้รู้เรื่องเหล่านั้น และผนึกเคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างยากที่พวกสัตว์นรกจะแทรกเรื่องตอแหลที่เป็นสันดานของพวกมันที่พวกมันเคยทำสำเร็จ แต่เดี๋ยวนี้คนไทยกลับเข้มแข็ง ไม่อ่อนไหวต่อความจอมปลอม ตอแหล ที่พวกมันพยายามสร้างขึ้นมาหลอกแดกเลยสักนิด
เวลานี้นรกจ่อถึงคอพวกมันหมดแล้ว หมดหนทางที่จะตอแหลต่อไป นอกจากเดี๋ยวนี้ต้องลงทุนออกมาเรียงตัวด้วยตัวเอง อย่างไม่ต้องนึกละอายหรือมียาง พยายามแก้ข่าวหรือข้อมูลที่ประชาชนคนไทยได้รับรู้อย่างละเอียดและแน่ชัดเพราะหลักฐานต่างๆมันมีให้เห็นก่อนเชื่อทุกๆอย่าง แถมยิ่งวันก็ยิ่งช่วยกันขุดขุ้ยออกมาประจานหรือแบ่งบันให้แก่กันและกันในการรับรู้ ว่า
ทั้งหมดที่คนไทยทั้งประเทศรับรู้มามันเป็นแค่ข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวไม่จริงทั้งนั้น
แต่กลับยิ่งทำให้คนไทยกลับยิ่งแน่ชัด และชัดเจนสิ่งที่แต่ละคนรับรู้มามันคือความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตปากท้องและประเทศของเขามาโดยตลอดจริงๆ แถมทุกๆวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด ความอดยาก ความลำบากในการดำรงชีวิตแต่ละวัน สภาพบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความทุกข์ในทุกๆด้าน ที่มันไม่ใช่เพราะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่มันเกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มสัตว์นรกที่แอบแฝงตอแหลจอมปลอมสร้ัางภาพมายึดครองอำนาจในการบริหารบ้านเมือง
แถมพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาสัตว์นรกในคอกของตัวเองออกมาอาละวาด และทำทุกๆทางที่พวกมันจะได้ครอบครองทุกๆอย่างโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนไทยในชาติเลย ยิ่งวันทุกๆอย่างมันทำอย่างปกปิด บิดเบือน ไม่ได้เลย ถูกขุดออกมาแฉกันให้เห็น ให้ได้รับรู้กันทั้งประเทศแล้ว ยากจริงๆที่พวกมันจะฝืนความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศไปได้แล้ว ภาพที่เห็นมันสัตว์นรกจังไรระยำย่ำยีต่อชาติบ้านเมืองและชีวิตปากท้องของคนไทยในทุกๆด้านเพื่อผลประโยชน์ของพวกมันทั้งนั้น
เวลานี้พวกเราคนไทยกลับกำลังนั่งกระดิกตีนรอการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของลมหายใจของพวกมัน
ที่จะดำรงอยู่บนแผ่นดินเดียวกับคนไทยทั้งประเทศต่อไปเท่านั้น ส่วนเรื่องแก้ข่าว เรื่องสร้างภาพ และเรื่องยัดเยียดสมองเราคนไทยให้หลงเชื่องมงายในเรื่องต่างๆที่เป็นเรื่องตอแหลทั้งนั้นคงยากจริงที่จะทำ เพราะเราทุกๆคนคงไม่ยอมอยู่บนความตอแหลอีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่าการเลือกตั้งถ้ามีจริงๆ พวกมันก็คงต้องพบกับความจริงว่า เดี๋ยวนี้คนไทยเขาต้องการอะไรกันแน่ และเขาคงไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว พรรคการเมืองต่างๆที่เขาจะเลือก จะเลือกเอาเฉพาะพรรคการเมืองที่เป็นพรรคการเมืองของประชาชนเท่านั้น ถ้าหากมีพรรคการเมืองอื่นๆ ที่จะมาแข่งกันรับใช้ประชาชนเขาก็เลือกเอาเฉพาะพรรคการเมืองที่เขาแน่ใจว่า
ชีวิตปากท้องและบ้านเมืองจะเจริญก้าวหน้าเท่านั้น เวลานี้พรรคการเมืองที่เป็นพรรคของประชาชนคงมีอยู่พรรคเดียวคือ พรรคเพื่อไทย ดังนั้นขอให้พรรคเพื่อไทยเตรียมตัวเตรียมใจมุ่งมั่นสร้างชาติสร้างชีวิตที่ดีในทุกๆแง่ให้กับประเทศไทยและประชาชนคนไทยทั้งชาติได้แล้ว เดินเคียงบ่าเคียงไหล่พี่น้องในพื้นที่ของตัวเองอย่างเข้มแข็ง และทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพี่น้องในพื้นที่ของตัวเอง
และการเลือกของประชาชนครั้งนี้ เขาไม่มีวันทิ้งให้ผู้แทนที่เขาเลือกมาต้องเหน็ดเหนื่อยแต่ลำพังแน่ๆ เพราะเราคนไทยทุกๆคนรอเวลาที่จะสร้างชาติไทยของเราอยู่ทุกลมหายใจ ดังนั้นเชื่อว่าครั้งนี้ท่าน สส หรือ ตัวแทนของพรรคชาติไทยคงจะพร้อมแล้ว อย่างไรพวกท่านคงหนีไม่พ้นต้องรับใช้ชาติและประชาชนเพื่อนร่วมชาติเดียวกับท่านแน่ๆ
ท่านทั้งหลายจะต้องเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศในการริเริ่มขับเคลื่อนทุกๆอย่าง ขอเพียงท่านอย่าหยุดที่จะสร้างชาติไทยให้เข้มแข็งให้สำเร็จ เกียรติยศและศักดิ์สณีของท่านทั้งหมดจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตย์ของชาติไทย เพื่อให้เป็นเยี่ยงเป็นอย่างต่อไป
มันใกล้ถึงเวลาที่ความสารเลวชาติชั่วจังไร และ อ้ายพวกสัตว์นรก ต้องหมดสิ้นสูญพันธ์จากแผ่นดินไทยได้สำเร็จในครั้งนี้อย่างแน่นอนเสียทีนะครับ เราต้องทำได้สำเร็จแน่ๆ เพราะ ทั้งใจและกายและความคิดของคนไทยมันเข้มแข็งที่จะอยู่บนความจริงที่เป็นความจริงจริงๆเที่ยวนี้ครับ
ประเทศไทยจงเจริญในเร็วๆวันนี้นะครับ ผมและท่านทั้งหมดจะอยู่เพื่อได้สัมผัสมันแน่ๆครับ ขอให้เข้มแข็ง เคียงบ่าเคียงไหล่กันอย่างเหนี่ยวแน่นในทุกๆด้านเท่านั้น พวกมันกำลังตายซากทุกๆตัวครับ.
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554
เสียงกระซิบจากแดนตาราง.
บันทึกทนายความ ฉบับที่ 1 : เสียงกระซิบจากแดนตาราง
Tue, 2011-04-05 13:30
โดย อานนท์ นำภา
ที่มา: http://rli.in.th/2011/04/05/บันทึกทนายความ-ฉบับที่๑/
************************************************************
เดิมผมชั่งน้ำหนักการเขียนบันทึกในฐานะทนายความว่าควรเขียนดีหรือไม่ด้วยเหตุผลอยู่ 2-3 ประการ คือ บางทีอาจทำให้มองว่าเป็นการพรีเซนท์ตัวเอง หรืออาจถูกข้อหาอยากดังเป็นต้น แต่ภายหลังจากที่เข้าเยี่ยมจำเลยคดีหมิ่นล่าสุด(4 เมษายน 2554) ผมจึงตัดสินใจว่า งานของทนายความคงไม่สามารถจำกัดตัวเองอยู่เพียงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย หรือคดีความเท่านั้น แต่ต้องเป็นกระบอกเสียงให้จำเลยที่กระซิบผ่านจากแดนตารางด้วย
มัน มีเรื่องหลายเรื่องที่อยากเล่าผ่านผู้อ่าน ซึ่งจริงๆแล้วผมได้ทยอยเขียนเป็นข้อความสั้นๆผ่านทางเฟซบุ๊ค ของผมแล้ว แต่นั่นอาจสื่อความหมายหรือข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน และบางครั้งก็กลับกลายเป็นปัญหาให้ตีความไปเสียหลายทาง ผมจึงขออนุญาตเขียนเป็นชิ้นงานขนาดกลางเพื่อเป็นการสื่อสารข้างต้น และในฉบับหลังๆ อาจขออนุญาตเล่าย้อนไปในเหตุการณ์ที่ประทับใจ หรือน่าสนใจในการทำงานช่วยเหลือทางกฎหมาย และแน่นอนว่ามันอาจไม่ได้เป็นงานเขียนระดับนักเขียนมืออาชีพ แต่น่าจะเป็นงานเขียนที่บอกเล่าสิ่งที่ผมในฐานะทนายความอยากเล่า และเป็นเสียงที่ผู้ต้องขังอยากบอกเช่นกัน…
ประตูบานใหญ่ทะมึนหลังลูกกรงค่อยๆเปิิดออก ภาพที่ผมเห็น คือชายสามคนที่พยุงกันอออกมาหาทนายความ และหนึ่งในสามคนนั้นเป็นชายแก่ที่เดินเองไม่สะดวกด้วยอาการเท้าชาไม่มีแรง ทั้งอาการมะเร็งยังกำเริบอีก เขาชื่ออำพล ตั้งนพกุลหรือที่ผมเรียกว่า “อากง” ส่วนชายวัยหนุ่มอีกสองคนที่ทำหน้าที่บุรุษพยาบาล(จำเป็น) ที่คอยพยุงร่างของ อากง ออกมาคือ คุณหมี สุริยันต์ กกเปือย และ คุณหนุ่ม ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ทั้งสามเป็นจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และติดคุกมาร่วมปีแล้ว
เรามีเพียงกระจกกั้นเราไว้เป็นสองโลก คือโลกแห่งความจริงที่มีผมเป็นทนายความ และโลกแห่งแดนตาราง ที่มีทั้งสามคนกำลังอาศัยอยู่ เจ้าหน้าที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำในโลกของผม ส่วนอีกโลกเป็นพัดลมเพดานเล็กๆ ซึ่งคอยขับไล่เหงื่อของทั้งสามคนไม่ให้เปียกจนเกินไป
อากงจะยกมือไหว้ผมและร้องไห้เสมอที่เจอหน้ากัน ด้วยอาการมะเร็งทำให้แกพูดไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ แต่ที่จับใจความได้ คือ แกอยากให้ช่วยเรื่องประกันตัว ซึ่งทางทีมทนายความก็ได้ยื่นประกันตัวแล้วถึงสามครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากศาลสถิตยุติธรรม ผมได้แต่ปลอบใจและให้กำลังใจว่าเราจะพยายามพาอากงกลับบ้านให้ได้ ซึ่งคดีของอากงจะสืบพยานอีกทีในเดือนกันยายนนี้ โดยมีทนายเมย์ และพี่ทนายธีรพันธุ์ เป็นทีมทนายความสู้คดี โดยหากคดีนี้ศาลรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดจริง อากงอาจถูกตัดสินให้จำคุกถึง 60 ปี ( ตามกฎหมายอนุญาตให้จำคุกได้ 20 ปี) ซึ่งนี่อาจทำให้เสรีภาพในบั้นปลายถูกปล้นไปจากชีวิตเลยทีเดียว
ตอนเช้า ป้าอุ๊ ภรรยาอากงมาเยี่ยมและแจ้งว่า ลูกสาวของอากงต้องออกจากงาน เพราะลามาทำเรื่องประกันอากงบ่อยไป และถูกนายจ้างบีบให้ออกในที่สุด (ความจริงผมทราบว่านายจ้างไม่ปลื้มที่ลูกน้องมีพ่อเป็นจำเลยคดีหมิ่นฯ๑๑๒ สักเท่าไหร่) ตอนนี้กำลังหางานทำอยู่ ส่วนป้าอุ๊ ก็ต้องดูแลหลานอีกสามคน ไม่สะดวกที่จะมาเยี่ยม แต่ด้วยความเป็นห่วง ป้าอุ๊ก็พยายามมาเยี่ยมให้ได้เดือนละ 2-3 ครั้ง และอากงแจ้งผมว่าให้ช่วยทำเรื่องขอให้หมอมารักษาด้วยเพราะแกมีอาการปวดและขากเสลดออกมาเป็นเลือดแล้ว…
ส่วน พี่หมี สุริยันต์ กกเปือย รายนี้ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แกเป็นห่วงก็แต่พ่อกับแม่เท่านั้น ด้วยอาการโรคเบาหวาน ทำให้พ่อของพี่หมีไม่สามารถทำงานนานๆได้ ต้องพักอยู่บ่อยๆ ส่วนแม่ก็ต้องมาช่วยทำงาน ความลำบากของทั้งสองคนถูกสะกัดกั้นไม่ให้ผมบอกกับพี่หมี เพราะกลัวแกจะคิดมาก แต่ผมทราบว่าแกน่าจะรู้เพราะดูจากอาการที่ผมไปเยี่ยมทุกครั้งแแกจะฝากให้ไป เยี่ยมพ่อแม่แกด้วย…
คดีของพี่หมีอยู่ในระหว่างการขอรับพระราชทานอภัยโทษ เพราะในคดี แกรับสารภาพว่าได้โทรศัพท์ไปกล่าวข้อความที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจริง ซึ่งศาลได้ตัดสินจำคุก 6 ปี กับ 30 วัน แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงได้รับการลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงต้องรอความเมตตาจากในหลวงเท่านั้นจึงจะทำให้พี่หมีได้กลับไปสู่อ้อมกอดของครอบครัวโดยเร็ว…
ผมหอบสำเนาสำนวนคดีหมิ่นฯของพี่หนุ่มไปฝากให้แกช่วยดูด้วย เพราะคดีของแกอยู่ในระหว่างเขียนอุทธรณ์ ซึ่งจะครบกำหนดยื่นในวันที่ 15 เมษายนนี้ แต่ทราบว่าทางศาลยังพิมพ์คำพิพากษายังไม่เสร็จ คงต้องขอขยายระยะเวลายื่นออกไปอีกสักพัก เพราะคดีนี้มีรายละเอียดเยอะมาก แต่โชคดีที่ได้ทีมงาน iLaw มาช่วยคดี และแน่นอนว่าแม้ผลของคดีจะออกมาไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ แต่พี่หนุ่มก็ฝากขอบคุณทีมทนายทุกคน และให้กำลังใจในการทำงานต่อสู้กับคดีเหล่านนี้ต่อไป แกบอกว่าอยากให้ใช้เคสแก รณรงค์ถึงความอยุติธรรมของกฎหมายหมิ่นฯ และอยากให้สังคมเราก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“วัน ที่ผมไปฟังคำพิพากษา พอเริ่มอ่านผมก็รู้แล้วว่าเขาลงโทษแน่ แต่ผมดีใจที่เพื่อนๆไปให้กำลังใจ โดยเฉพาะกลุ่มเรดนนท์ , ป้าอุษา, ทีมทนาย และเพื่อนๆของโลกไซเบอร์อีกหลายคนที่บางคนผมไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ”
ผมแจ้งเรื่องเงินช่วยเหลือน้องเวป ลูกชายวัย 10 ขวบของแกให้ทราบ แกร้องไห้และฝากขอบทุกคุณท่านที่ช่วยดูแลน้องเวปมาด้วย
เจ้าหน้าที่ตะโกนบอกว่าอีก 5 นาทีหมดเวลาเยี่ยม เราร่ำลากันด้วยถ้อยคำอันคุ้นเคย ผมซื้อของฝากเข้าให้ทั้งสามคน โดยใช้เงินบริจาคจากบัญชีสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ ผมเดาเอาว่าท่านที่บริจาคด้วยยอด 1,112 บาท คงประสงค์เพื่อการนี้ และแน่นอนผมไม่รู้หรอกว่าทั้งสามอยากได้อะไร เพราะทั้งสามคนไม่เคยเรียกร้องอะไรจากทนายความเลย … ผมได้แต่คิดเอาเองว่า ผมอยากกินอะไรก็ซื้ออันนั้น และไม่ลืมนมและเครื่องดื่มประเภทบำรุงรังนกสำหรับกำลังของอากง…
ภาพที่พี่หนุ่มกับพี่หมี พยุงร่างอากงกลับเข้าสู่แดนตารางทำให้ผมคิดถึงใครบางคน… ใครบางคนที่ไม่อาจเห็นภาพเหล่านี้ได้ นี่คือความไม่เท่าเทียมกันของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน …
ผมกลับออกจากเรือนจำตอนบ่ายสามโมง มารวมกับน้องทนายอีกสี่คนที่ไปเยี่ยมคดีเสื้อแดง และกำลังทำประสานเรื่องประกันตัวกับกรมคุ้มครองสิทธิ์อยู่ ทั้งสี่คนดูหัวยุ่งกันนิดหน่อย เราเดินคุยกันมาจนแว็ป เจอรถเข็นขายส้มตำ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของอาการจู๊ดๆ ในขณะกำลังเขียนบันทึกฉบับนี้ !
http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/33897
-----------------------------------------------
ประชาชนต้องปฏิวัติต้องขัดขืน
ประชาชนต้องหยัดยืนต้องกำแหง
ประชาชนต้องโค่นล้มต้องสำแดง
ประชาชนต้องเฉิดแสงแห่งพลัง
โดย ปีกซ้าย
-----------------------------------------------
คัดจากเว็บไซต์ http://www.internetfreedom.us/thread-19751.html
ด้วยความขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทนายอานนท์ คนยอดคน
-----------------------------------------------
Tue, 2011-04-05 13:30
โดย อานนท์ นำภา
ที่มา: http://rli.in.th/2011/04/05/บันทึกทนายความ-ฉบับที่๑/
************************************************************
เดิมผมชั่งน้ำหนักการเขียนบันทึกในฐานะทนายความว่าควรเขียนดีหรือไม่ด้วยเหตุผลอยู่ 2-3 ประการ คือ บางทีอาจทำให้มองว่าเป็นการพรีเซนท์ตัวเอง หรืออาจถูกข้อหาอยากดังเป็นต้น แต่ภายหลังจากที่เข้าเยี่ยมจำเลยคดีหมิ่นล่าสุด(4 เมษายน 2554) ผมจึงตัดสินใจว่า งานของทนายความคงไม่สามารถจำกัดตัวเองอยู่เพียงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย หรือคดีความเท่านั้น แต่ต้องเป็นกระบอกเสียงให้จำเลยที่กระซิบผ่านจากแดนตารางด้วย
มัน มีเรื่องหลายเรื่องที่อยากเล่าผ่านผู้อ่าน ซึ่งจริงๆแล้วผมได้ทยอยเขียนเป็นข้อความสั้นๆผ่านทางเฟซบุ๊ค ของผมแล้ว แต่นั่นอาจสื่อความหมายหรือข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน และบางครั้งก็กลับกลายเป็นปัญหาให้ตีความไปเสียหลายทาง ผมจึงขออนุญาตเขียนเป็นชิ้นงานขนาดกลางเพื่อเป็นการสื่อสารข้างต้น และในฉบับหลังๆ อาจขออนุญาตเล่าย้อนไปในเหตุการณ์ที่ประทับใจ หรือน่าสนใจในการทำงานช่วยเหลือทางกฎหมาย และแน่นอนว่ามันอาจไม่ได้เป็นงานเขียนระดับนักเขียนมืออาชีพ แต่น่าจะเป็นงานเขียนที่บอกเล่าสิ่งที่ผมในฐานะทนายความอยากเล่า และเป็นเสียงที่ผู้ต้องขังอยากบอกเช่นกัน…
ประตูบานใหญ่ทะมึนหลังลูกกรงค่อยๆเปิิดออก ภาพที่ผมเห็น คือชายสามคนที่พยุงกันอออกมาหาทนายความ และหนึ่งในสามคนนั้นเป็นชายแก่ที่เดินเองไม่สะดวกด้วยอาการเท้าชาไม่มีแรง ทั้งอาการมะเร็งยังกำเริบอีก เขาชื่ออำพล ตั้งนพกุลหรือที่ผมเรียกว่า “อากง” ส่วนชายวัยหนุ่มอีกสองคนที่ทำหน้าที่บุรุษพยาบาล(จำเป็น) ที่คอยพยุงร่างของ อากง ออกมาคือ คุณหมี สุริยันต์ กกเปือย และ คุณหนุ่ม ธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล ทั้งสามเป็นจำเลยคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และติดคุกมาร่วมปีแล้ว
เรามีเพียงกระจกกั้นเราไว้เป็นสองโลก คือโลกแห่งความจริงที่มีผมเป็นทนายความ และโลกแห่งแดนตาราง ที่มีทั้งสามคนกำลังอาศัยอยู่ เจ้าหน้าที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำในโลกของผม ส่วนอีกโลกเป็นพัดลมเพดานเล็กๆ ซึ่งคอยขับไล่เหงื่อของทั้งสามคนไม่ให้เปียกจนเกินไป
อากงจะยกมือไหว้ผมและร้องไห้เสมอที่เจอหน้ากัน ด้วยอาการมะเร็งทำให้แกพูดไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ แต่ที่จับใจความได้ คือ แกอยากให้ช่วยเรื่องประกันตัว ซึ่งทางทีมทนายความก็ได้ยื่นประกันตัวแล้วถึงสามครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากศาลสถิตยุติธรรม ผมได้แต่ปลอบใจและให้กำลังใจว่าเราจะพยายามพาอากงกลับบ้านให้ได้ ซึ่งคดีของอากงจะสืบพยานอีกทีในเดือนกันยายนนี้ โดยมีทนายเมย์ และพี่ทนายธีรพันธุ์ เป็นทีมทนายความสู้คดี โดยหากคดีนี้ศาลรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดจริง อากงอาจถูกตัดสินให้จำคุกถึง 60 ปี ( ตามกฎหมายอนุญาตให้จำคุกได้ 20 ปี) ซึ่งนี่อาจทำให้เสรีภาพในบั้นปลายถูกปล้นไปจากชีวิตเลยทีเดียว
ตอนเช้า ป้าอุ๊ ภรรยาอากงมาเยี่ยมและแจ้งว่า ลูกสาวของอากงต้องออกจากงาน เพราะลามาทำเรื่องประกันอากงบ่อยไป และถูกนายจ้างบีบให้ออกในที่สุด (ความจริงผมทราบว่านายจ้างไม่ปลื้มที่ลูกน้องมีพ่อเป็นจำเลยคดีหมิ่นฯ๑๑๒ สักเท่าไหร่) ตอนนี้กำลังหางานทำอยู่ ส่วนป้าอุ๊ ก็ต้องดูแลหลานอีกสามคน ไม่สะดวกที่จะมาเยี่ยม แต่ด้วยความเป็นห่วง ป้าอุ๊ก็พยายามมาเยี่ยมให้ได้เดือนละ 2-3 ครั้ง และอากงแจ้งผมว่าให้ช่วยทำเรื่องขอให้หมอมารักษาด้วยเพราะแกมีอาการปวดและขากเสลดออกมาเป็นเลือดแล้ว…
ส่วน พี่หมี สุริยันต์ กกเปือย รายนี้ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แกเป็นห่วงก็แต่พ่อกับแม่เท่านั้น ด้วยอาการโรคเบาหวาน ทำให้พ่อของพี่หมีไม่สามารถทำงานนานๆได้ ต้องพักอยู่บ่อยๆ ส่วนแม่ก็ต้องมาช่วยทำงาน ความลำบากของทั้งสองคนถูกสะกัดกั้นไม่ให้ผมบอกกับพี่หมี เพราะกลัวแกจะคิดมาก แต่ผมทราบว่าแกน่าจะรู้เพราะดูจากอาการที่ผมไปเยี่ยมทุกครั้งแแกจะฝากให้ไป เยี่ยมพ่อแม่แกด้วย…
คดีของพี่หมีอยู่ในระหว่างการขอรับพระราชทานอภัยโทษ เพราะในคดี แกรับสารภาพว่าได้โทรศัพท์ไปกล่าวข้อความที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจริง ซึ่งศาลได้ตัดสินจำคุก 6 ปี กับ 30 วัน แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงได้รับการลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงต้องรอความเมตตาจากในหลวงเท่านั้นจึงจะทำให้พี่หมีได้กลับไปสู่อ้อมกอดของครอบครัวโดยเร็ว…
ผมหอบสำเนาสำนวนคดีหมิ่นฯของพี่หนุ่มไปฝากให้แกช่วยดูด้วย เพราะคดีของแกอยู่ในระหว่างเขียนอุทธรณ์ ซึ่งจะครบกำหนดยื่นในวันที่ 15 เมษายนนี้ แต่ทราบว่าทางศาลยังพิมพ์คำพิพากษายังไม่เสร็จ คงต้องขอขยายระยะเวลายื่นออกไปอีกสักพัก เพราะคดีนี้มีรายละเอียดเยอะมาก แต่โชคดีที่ได้ทีมงาน iLaw มาช่วยคดี และแน่นอนว่าแม้ผลของคดีจะออกมาไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ แต่พี่หนุ่มก็ฝากขอบคุณทีมทนายทุกคน และให้กำลังใจในการทำงานต่อสู้กับคดีเหล่านนี้ต่อไป แกบอกว่าอยากให้ใช้เคสแก รณรงค์ถึงความอยุติธรรมของกฎหมายหมิ่นฯ และอยากให้สังคมเราก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“วัน ที่ผมไปฟังคำพิพากษา พอเริ่มอ่านผมก็รู้แล้วว่าเขาลงโทษแน่ แต่ผมดีใจที่เพื่อนๆไปให้กำลังใจ โดยเฉพาะกลุ่มเรดนนท์ , ป้าอุษา, ทีมทนาย และเพื่อนๆของโลกไซเบอร์อีกหลายคนที่บางคนผมไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ”
ผมแจ้งเรื่องเงินช่วยเหลือน้องเวป ลูกชายวัย 10 ขวบของแกให้ทราบ แกร้องไห้และฝากขอบทุกคุณท่านที่ช่วยดูแลน้องเวปมาด้วย
เจ้าหน้าที่ตะโกนบอกว่าอีก 5 นาทีหมดเวลาเยี่ยม เราร่ำลากันด้วยถ้อยคำอันคุ้นเคย ผมซื้อของฝากเข้าให้ทั้งสามคน โดยใช้เงินบริจาคจากบัญชีสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ ผมเดาเอาว่าท่านที่บริจาคด้วยยอด 1,112 บาท คงประสงค์เพื่อการนี้ และแน่นอนผมไม่รู้หรอกว่าทั้งสามอยากได้อะไร เพราะทั้งสามคนไม่เคยเรียกร้องอะไรจากทนายความเลย … ผมได้แต่คิดเอาเองว่า ผมอยากกินอะไรก็ซื้ออันนั้น และไม่ลืมนมและเครื่องดื่มประเภทบำรุงรังนกสำหรับกำลังของอากง…
ภาพที่พี่หนุ่มกับพี่หมี พยุงร่างอากงกลับเข้าสู่แดนตารางทำให้ผมคิดถึงใครบางคน… ใครบางคนที่ไม่อาจเห็นภาพเหล่านี้ได้ นี่คือความไม่เท่าเทียมกันของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน …
ผมกลับออกจากเรือนจำตอนบ่ายสามโมง มารวมกับน้องทนายอีกสี่คนที่ไปเยี่ยมคดีเสื้อแดง และกำลังทำประสานเรื่องประกันตัวกับกรมคุ้มครองสิทธิ์อยู่ ทั้งสี่คนดูหัวยุ่งกันนิดหน่อย เราเดินคุยกันมาจนแว็ป เจอรถเข็นขายส้มตำ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของอาการจู๊ดๆ ในขณะกำลังเขียนบันทึกฉบับนี้ !
http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/33897
-----------------------------------------------
ประชาชนต้องปฏิวัติต้องขัดขืน
ประชาชนต้องหยัดยืนต้องกำแหง
ประชาชนต้องโค่นล้มต้องสำแดง
ประชาชนต้องเฉิดแสงแห่งพลัง
โดย ปีกซ้าย
-----------------------------------------------
คัดจากเว็บไซต์ http://www.internetfreedom.us/thread-19751.html
ด้วยความขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทนายอานนท์ คนยอดคน
-----------------------------------------------
แด่ ประเทศตอแหลแลนด์
กลอนที่ทนายอานนท์แต่งตอนเมา..ก้อณัฐวุฒิยังเมาด้ายนี่นา
แด่….ประเทศตอแหลแลนด์
โดยอานนท์ นำภาเมื่อ 6 เมษายน 2011 เวลา 0:08 น.
แด่….ประเทศตอแหลแลนด์
แด่ประเทศ “ตอแหลแลนด์”
ดินแดน เดินแดก แหกขา
เล่นลิ้น สองแฉก แหกตา
กูไม่ ได้บ้า นะโว้ย !
ชิชะ ทะลึ่ง บึ่งปาก
ลิ้นลาก แหลลื่น โหลยโหลย
จริงกลับ กลโกง กอบโกย
บ้ายโบ้ย (บลาบลา) บ้าบอ
ออกโรง ร้องรำ ทำเพลง
ออกแขก ครื้นเครง (หัวร่อ)
ออกตับ ตับตับ ลับจอ
ออกจ้อ อ๋อเจ้ เขวจัง
เลี้ยงหมา ให้หมา มาหมอบ
เลี้ยงคน ไว้ครอบ ความขลัง
เลี้ยงม้า ให้ม้า หาตังค์
แล้วนั่ง ชักไม้ ชูมือ
หยุดเหอะ พอเหอะ เลอะแล้ว
เห็นแกว หมดละ กระสือ
กรีดคิ้ว หลิ่วตา ปรือปรือ
นี่คือ ธาตุแท้ “ตอแหลแลนด์”
: เขียนเล่นๆ เมาๆ ขำๆ
อานนท์ นำภา ๖ เมษายน ๒๕๕๔
http://www.facebook.com/notes/%E0%B8%AD%...2899732120
-----------------------------------------------------
ประชาชนต้องปฏิวัติต้องขัดขืน
ประชาชนต้องหยัดยืนต้องกำแหง
ประชาชนต้องโค่นล้มต้องสำแดง
ประชาชนต้องเฉิดแสงแห่งพลัง
โดย ปีกซ้าย
------------------------------------------------------
จากเว็บไซต์ http://www.internetfreedom.us/thread-19750.html
แด่….ประเทศตอแหลแลนด์
โดยอานนท์ นำภาเมื่อ 6 เมษายน 2011 เวลา 0:08 น.
แด่….ประเทศตอแหลแลนด์
แด่ประเทศ “ตอแหลแลนด์”
ดินแดน เดินแดก แหกขา
เล่นลิ้น สองแฉก แหกตา
กูไม่ ได้บ้า นะโว้ย !
ชิชะ ทะลึ่ง บึ่งปาก
ลิ้นลาก แหลลื่น โหลยโหลย
จริงกลับ กลโกง กอบโกย
บ้ายโบ้ย (บลาบลา) บ้าบอ
ออกโรง ร้องรำ ทำเพลง
ออกแขก ครื้นเครง (หัวร่อ)
ออกตับ ตับตับ ลับจอ
ออกจ้อ อ๋อเจ้ เขวจัง
เลี้ยงหมา ให้หมา มาหมอบ
เลี้ยงคน ไว้ครอบ ความขลัง
เลี้ยงม้า ให้ม้า หาตังค์
แล้วนั่ง ชักไม้ ชูมือ
หยุดเหอะ พอเหอะ เลอะแล้ว
เห็นแกว หมดละ กระสือ
กรีดคิ้ว หลิ่วตา ปรือปรือ
นี่คือ ธาตุแท้ “ตอแหลแลนด์”
: เขียนเล่นๆ เมาๆ ขำๆ
อานนท์ นำภา ๖ เมษายน ๒๕๕๔
http://www.facebook.com/notes/%E0%B8%AD%...2899732120
-----------------------------------------------------
ประชาชนต้องปฏิวัติต้องขัดขืน
ประชาชนต้องหยัดยืนต้องกำแหง
ประชาชนต้องโค่นล้มต้องสำแดง
ประชาชนต้องเฉิดแสงแห่งพลัง
โดย ปีกซ้าย
------------------------------------------------------
จากเว็บไซต์ http://www.internetfreedom.us/thread-19750.html
หนังสือต้องห้าม
หนังสือต้องห้าม : เอาชนะความกลัวพระบรมเดชานุภาพ
(Overcoming Fear of Monarchy in Thailand )
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 เมษายน 2554
หนังสือ เอาชนะความกลัวพระบรมเดชานุภาพ: Overcoming Fear of Monarchy in Thailand เขียนโดยจรรยา ยิ้มประเสริฐ นักกิจกรรมด้านแรงงาน ( เธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เพียงแต่นามสกุลพ้องกัน และอุดมคติคล้ายกัน )
จรรยาเปิดเผยว่า หนังสือฉบับนี้เขียนขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เพื่อถอดมายาภาพที่ปรุงแต่งแวดล้อมสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อที่ประชาชนในประเทศไทย จะได้ปฏิบัติตัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในฐานะแห่งมนุษย์ที่เคารพในศักด์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
เป็นการเขียนด้วยความรักในประเทศชาติ เป็นการเขียนเพื่อต้องการเห็นทั้งสังคมไทยพัฒนาก้าวหน้า เป็นสังคมแห่งการใช้เหตุผล เป็นสังคมที่คนทั้งสังคมสามารถใช้ภูมิปัญญาและองค์แห่งความรู้ (อันจำเป็นยิ่งในสภาวะแห่งวิกฤติธรรมชาติในปัจจุบัน) เพื่อพัฒนาขับเคลื่อนไปด้วยกันด้วยความรัก ความเข้าใจ มุ่งหน้าสู่เส้นทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เคารพทุกวิถีชีวิต วิถีการพัฒนาที่เคารพ รักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และเคารพในความหลากหลายของทุกสรรพสิ่ง
การจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ สังคมต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกฝ่าย ในสิ่งที่คิดว่าไม่สอดคล้องกับตรรกะแห่งเหตุผลด้วยเหตุผล โดยเฉพาะต่อกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้การดูแลของงบประมาณของแผ่นดิน 2,000,000,000,0000 บาท (สองล้านล้านบาท) ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน วุฒิสมาชิก และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการใช้งบประมาณแผ่นดินทุกคน
หนังสือเล่มนี้ด้วยหลักฐานอ้างอิงมากมายของแหล่งที่มาของข้อมูล มันคืองานวิชาการชิ้นหนึ่งที่ไม่ควรถูกแบน หรือถูกเซ็นเซอร์ หรือถ้าหนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือต้องห้าม ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ที่คำโปรยหลังว่า . .
"เมื่อการใช้เสรีภาพในการพูดหรือนำเสนอความคิดเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อการเมืองไทย เพราะต้องการเห็นประชาชนในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ และมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ในการกำหนดอนาคตที่ดีกว่านี้ ของตัวเองและของลูกหลาน ถูกนิยามว่าเป็นอาชญากรรมที่ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นจะต้อง “หมิ่นฯ”
พร้อมกันนี้ ขอคัดคำนำมาเผยแพร่ในที่นี่ . .
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนเพื่อขับไล่เผด็จการสุจินดา คราประยูร มาถึงจุดเดือดในเดือนพฤษภาคม 2535 มีรายงานผู้เสียชีวิต 48 คน จากการปราบปรามของทหารในเหตุการณ์ครั้งนี้
เป็นไปตามธรรมเนียมการเมืองไทย พระบาทสมเด็จระเจ้าอยู่หัวทรงเชิญให้แกนนำทั้งสองฝ่ายเข้าเฝ้าและอภัยโทษให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งพระราชทานนายรัฐมนตรี ที่แม้ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้ง แต่ก็ได้ผ่านร่างกฎหมาย 267 ฉบับภายในปีเดียว
นี่คือรูปธรรมการเมืองไทย “ประชาธิปไตยแบบไทยภายใต้พระมหากษัตริย์” อันเป็นนิยามแห่งความสับสน และการเมืองแห่งการขอโทษที่เราทำได้แค่นี้ ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่รอยครั้งแล้วครั้งเล่า ตามธรรมเนียมวิถีที่ตั้งอยู่บนการสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ คนไทยจำนวนไม่น้อยที่มองโลกในแง่ดี ต่างก็หวังว่าเหตุการณ์พฤษภาเลือดปี 2535 จะเป็นการนองเลือดครั้งสุดท้ายที่กองทัพไทยกระทำกับประชาชนคนไทย และจะเป็นการสิ้นสุดได้เสียทีแห่งการเมืองคอรัปชั่น ผู้นำที่ละโมภโลภมากและโง่เขลาเบาปัญญาทางการเมือง ที่มีมาต่อเนื่องยาวนานนับตั้งแต่ปี 2490 เมื่อทหารไทยได้เริ่มต้นกระวนการบดขยี้ขบวนการประชาธิปไตยของไทยที่เพิ่งผลิใบ
การเลือกตั้งที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์พฤษภาเลือด ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มมีความหวังกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจนได้รัฐธรรมนูญ (ฉบับประชาชน) ปี 2540 ได้ระบุถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนบางด้านที่เคยถูกปฏิเสธ - อาทิเสรีภาพในการรวมตัวแสดงออกซึ่งความคิดเห็น แต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ การจะขจัดปัดเป่าปัญหาคอรัปชั่นที่ฝังรากลึกในกลไกของรัฐ ทหาร ตำรวจ และรวมทั้งในวัฒนธรรมการเมืองของไทยมาอย่างยาวนาน ต้องการมากกว่าเพียงแค่มีการระบุไว้ในมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ
สัญญาณแห่งการพัฒนาที่มีทีท่าว่าจะเป็นไปด้วยดีเหล่านี้ ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดโดยรัฐประหารปี 2549 ที่โค่นทักษิณได้สำเร็จ รวมทั้งยังได้ผลักประเทศไทยให้มุ่งหน้าสู่สงครามกลางเมือง
รัฐประหาร 2549 ทำให้คนไทยที่เคยแต่เพียงเฝ้ามองเหตุการณ์เมืองไทยอยู่รอบนอก จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถทนดูนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และเข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หลายคนได้ลุกขึ้นมาทลายความกลัวแห่งกฎหมายเหล็ก “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า เพราะเหตุใด ในรอบ 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ความหวังและแรงบันดาลใจเพื่อสร้างสังคมที่ดีงามของพวกเขา จึงถูกบดขยี้และทำให้ขยับเยื้อนไม่ได้จากอำนาจของคณะองคมนตรี ทหารรักษาพระองค์ และพวกหัวหน้าผู้พิพากษาต่างๆ
ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ร่วมครึ่ง หรือมากกว่าครึ่งของประชากรทั้งประเทศยังคงดำรงวิถีชีวิตด้วยการพึงพิงอาหารที่ครอบครัวผลิตจากไร่นาของตัวเอง โดยมีครอบครัวเกษตรกร 5.7 ล้านครอบครัว ซึ่งนับเป็นตัวแทนของประชากรไม่ต่ำกว่า 40% ของทั้งประเทศ และในจำนวนนี้มีเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 40% ที่มีที่ดินทำกินไม่ถึงสิบไร่ หรือต้องทำนาด้วยระบบแบ่งผลผลิตกับเจ้าของที่ดิน หรือเป็นเกษตรกรที่ต้องเช่าที่ดินทำกิน และจำนวนมากต้องสร้างรายได้เสริมจากการเดินทางไปเป็นแรงงานรับจ้างนอกพื้นที่จากจำนวนเงินกู้ทั้งหมดในประเทศไทย 45% เป็นเงินที่มาจากการกู้นอกระบบที่กระทำในตลาดมืด และคิดดอกเบี้ยกันในอัตรามหาโหด ส่วนมากจะคิดดอกเบี้ยกันเป็นรายเดือน
หนี้สินของครอบครัวเกษตรกรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 300,000 บาทต่อครัวเรือน สูงกว่าหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนของประชาชนทั้งประเทศเกือบเท่าตัว สวัสดิการสังคมที่มีอันจำกัดและครอบคลุมกำลังแรงงานเพียง 27% ของจำนวนแรงงานทั้งหมด 38 ล้านคน คนงานที่ถูกจัดในกลุ่ม “แรงงานจ้างงานตัวเอง” ที่มีประมาณ 24 ล้านคน ไม่ได้รับสวัสดิการทางสังคมใดๆ และก็เผชิญความยุ่งยากต่างๆ นาๆ ในการเข้าถึงการใช้บริการการรัษาฟรีของรัฐบาล สรุปสั้นๆ ก็คือ 70% ของประชากรในประเทศไทย ต่างก็มีชีวิตอยู่บนชะตากรรมที่ไม่มีสวัสดิการทางสังคมใดๆ เลย
ประเทศไทยถูกจัดอยู่ที่ลำดับ 73 ของดัชนีชี้วัดการพัฒนาของสหประชาชาติเมื่อปี 2548
แต่ในการจัดลำดับประจำปี 2554 เราตกร่วงลงมาอยู่ที่ลำดับที่ 92
หนังสือฉบับนี้ เป็นบทความต่อเนื่องจากสองบทความขนาดยาวที่เขียนขึ้นมาก่อนหน้านี้ ได้แก่ “ไพร่สู้ บนเส้นทาง 78 ปีประชาธิปไตย” (2552-2553) และ “ทำไมถึงไม่รักxxx (2553) แต่บทความเรื่องนี้เจาะลึกลงไปมากขึ้นถึงอำนาจของลัทธิศักดินาที่ยังคงคุมขังและทรมานพัฒนาการทางสังคมและการเมืองของคนในประเทศไทยอยู่จนถึงปัจจุบัน
*******************************************************************
อีกเล่มหนึ่ง
อนึ่งหนังสือเล่มนี้จะเป็นเอกสารหลักที่่ใช้ประกอบการบรรยายที่เวทีเสวนา "เบืองหลังวิกฤติประเทศไทย" ที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ในวันที่ 10 เมษายน 2554 เพื่อร่วมรำลึกถึงมรณกรรม 10 เมษายน 2553 ครบรอบ 1 ปี
******************************************************************
คัดจากเว็บไซต์ไทอีนิวส์
ด้วยความขอบคุณค่ะ
(Overcoming Fear of Monarchy in Thailand )
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 เมษายน 2554
หนังสือ เอาชนะความกลัวพระบรมเดชานุภาพ: Overcoming Fear of Monarchy in Thailand เขียนโดยจรรยา ยิ้มประเสริฐ นักกิจกรรมด้านแรงงาน ( เธอไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เพียงแต่นามสกุลพ้องกัน และอุดมคติคล้ายกัน )
จรรยาเปิดเผยว่า หนังสือฉบับนี้เขียนขึ้นมาด้วยจุดประสงค์เพื่อถอดมายาภาพที่ปรุงแต่งแวดล้อมสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อที่ประชาชนในประเทศไทย จะได้ปฏิบัติตัวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในฐานะแห่งมนุษย์ที่เคารพในศักด์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน
เป็นการเขียนด้วยความรักในประเทศชาติ เป็นการเขียนเพื่อต้องการเห็นทั้งสังคมไทยพัฒนาก้าวหน้า เป็นสังคมแห่งการใช้เหตุผล เป็นสังคมที่คนทั้งสังคมสามารถใช้ภูมิปัญญาและองค์แห่งความรู้ (อันจำเป็นยิ่งในสภาวะแห่งวิกฤติธรรมชาติในปัจจุบัน) เพื่อพัฒนาขับเคลื่อนไปด้วยกันด้วยความรัก ความเข้าใจ มุ่งหน้าสู่เส้นทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เคารพทุกวิถีชีวิต วิถีการพัฒนาที่เคารพ รักษาและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และเคารพในความหลากหลายของทุกสรรพสิ่ง
การจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ สังคมต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกฝ่าย ในสิ่งที่คิดว่าไม่สอดคล้องกับตรรกะแห่งเหตุผลด้วยเหตุผล โดยเฉพาะต่อกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้การดูแลของงบประมาณของแผ่นดิน 2,000,000,000,0000 บาท (สองล้านล้านบาท) ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทน วุฒิสมาชิก และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อการใช้งบประมาณแผ่นดินทุกคน
หนังสือเล่มนี้ด้วยหลักฐานอ้างอิงมากมายของแหล่งที่มาของข้อมูล มันคืองานวิชาการชิ้นหนึ่งที่ไม่ควรถูกแบน หรือถูกเซ็นเซอร์ หรือถ้าหนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือต้องห้าม ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ที่คำโปรยหลังว่า . .
"เมื่อการใช้เสรีภาพในการพูดหรือนำเสนอความคิดเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อการเมืองไทย เพราะต้องการเห็นประชาชนในประเทศไทยมีสิทธิ เสรีภาพ และมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ในการกำหนดอนาคตที่ดีกว่านี้ ของตัวเองและของลูกหลาน ถูกนิยามว่าเป็นอาชญากรรมที่ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นจะต้อง “หมิ่นฯ”
พร้อมกันนี้ ขอคัดคำนำมาเผยแพร่ในที่นี่ . .
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนเพื่อขับไล่เผด็จการสุจินดา คราประยูร มาถึงจุดเดือดในเดือนพฤษภาคม 2535 มีรายงานผู้เสียชีวิต 48 คน จากการปราบปรามของทหารในเหตุการณ์ครั้งนี้
เป็นไปตามธรรมเนียมการเมืองไทย พระบาทสมเด็จระเจ้าอยู่หัวทรงเชิญให้แกนนำทั้งสองฝ่ายเข้าเฝ้าและอภัยโทษให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งพระราชทานนายรัฐมนตรี ที่แม้ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้ง แต่ก็ได้ผ่านร่างกฎหมาย 267 ฉบับภายในปีเดียว
นี่คือรูปธรรมการเมืองไทย “ประชาธิปไตยแบบไทยภายใต้พระมหากษัตริย์” อันเป็นนิยามแห่งความสับสน และการเมืองแห่งการขอโทษที่เราทำได้แค่นี้ ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่รอยครั้งแล้วครั้งเล่า ตามธรรมเนียมวิถีที่ตั้งอยู่บนการสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ คนไทยจำนวนไม่น้อยที่มองโลกในแง่ดี ต่างก็หวังว่าเหตุการณ์พฤษภาเลือดปี 2535 จะเป็นการนองเลือดครั้งสุดท้ายที่กองทัพไทยกระทำกับประชาชนคนไทย และจะเป็นการสิ้นสุดได้เสียทีแห่งการเมืองคอรัปชั่น ผู้นำที่ละโมภโลภมากและโง่เขลาเบาปัญญาทางการเมือง ที่มีมาต่อเนื่องยาวนานนับตั้งแต่ปี 2490 เมื่อทหารไทยได้เริ่มต้นกระวนการบดขยี้ขบวนการประชาธิปไตยของไทยที่เพิ่งผลิใบ
การเลือกตั้งที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์พฤษภาเลือด ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเริ่มมีความหวังกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจนได้รัฐธรรมนูญ (ฉบับประชาชน) ปี 2540 ได้ระบุถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนบางด้านที่เคยถูกปฏิเสธ - อาทิเสรีภาพในการรวมตัวแสดงออกซึ่งความคิดเห็น แต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ การจะขจัดปัดเป่าปัญหาคอรัปชั่นที่ฝังรากลึกในกลไกของรัฐ ทหาร ตำรวจ และรวมทั้งในวัฒนธรรมการเมืองของไทยมาอย่างยาวนาน ต้องการมากกว่าเพียงแค่มีการระบุไว้ในมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ
สัญญาณแห่งการพัฒนาที่มีทีท่าว่าจะเป็นไปด้วยดีเหล่านี้ ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดโดยรัฐประหารปี 2549 ที่โค่นทักษิณได้สำเร็จ รวมทั้งยังได้ผลักประเทศไทยให้มุ่งหน้าสู่สงครามกลางเมือง
รัฐประหาร 2549 ทำให้คนไทยที่เคยแต่เพียงเฝ้ามองเหตุการณ์เมืองไทยอยู่รอบนอก จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถทนดูนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และเข้ามาร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หลายคนได้ลุกขึ้นมาทลายความกลัวแห่งกฎหมายเหล็ก “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า เพราะเหตุใด ในรอบ 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ความหวังและแรงบันดาลใจเพื่อสร้างสังคมที่ดีงามของพวกเขา จึงถูกบดขยี้และทำให้ขยับเยื้อนไม่ได้จากอำนาจของคณะองคมนตรี ทหารรักษาพระองค์ และพวกหัวหน้าผู้พิพากษาต่างๆ
ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ร่วมครึ่ง หรือมากกว่าครึ่งของประชากรทั้งประเทศยังคงดำรงวิถีชีวิตด้วยการพึงพิงอาหารที่ครอบครัวผลิตจากไร่นาของตัวเอง โดยมีครอบครัวเกษตรกร 5.7 ล้านครอบครัว ซึ่งนับเป็นตัวแทนของประชากรไม่ต่ำกว่า 40% ของทั้งประเทศ และในจำนวนนี้มีเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 40% ที่มีที่ดินทำกินไม่ถึงสิบไร่ หรือต้องทำนาด้วยระบบแบ่งผลผลิตกับเจ้าของที่ดิน หรือเป็นเกษตรกรที่ต้องเช่าที่ดินทำกิน และจำนวนมากต้องสร้างรายได้เสริมจากการเดินทางไปเป็นแรงงานรับจ้างนอกพื้นที่จากจำนวนเงินกู้ทั้งหมดในประเทศไทย 45% เป็นเงินที่มาจากการกู้นอกระบบที่กระทำในตลาดมืด และคิดดอกเบี้ยกันในอัตรามหาโหด ส่วนมากจะคิดดอกเบี้ยกันเป็นรายเดือน
หนี้สินของครอบครัวเกษตรกรโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 300,000 บาทต่อครัวเรือน สูงกว่าหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนของประชาชนทั้งประเทศเกือบเท่าตัว สวัสดิการสังคมที่มีอันจำกัดและครอบคลุมกำลังแรงงานเพียง 27% ของจำนวนแรงงานทั้งหมด 38 ล้านคน คนงานที่ถูกจัดในกลุ่ม “แรงงานจ้างงานตัวเอง” ที่มีประมาณ 24 ล้านคน ไม่ได้รับสวัสดิการทางสังคมใดๆ และก็เผชิญความยุ่งยากต่างๆ นาๆ ในการเข้าถึงการใช้บริการการรัษาฟรีของรัฐบาล สรุปสั้นๆ ก็คือ 70% ของประชากรในประเทศไทย ต่างก็มีชีวิตอยู่บนชะตากรรมที่ไม่มีสวัสดิการทางสังคมใดๆ เลย
ประเทศไทยถูกจัดอยู่ที่ลำดับ 73 ของดัชนีชี้วัดการพัฒนาของสหประชาชาติเมื่อปี 2548
แต่ในการจัดลำดับประจำปี 2554 เราตกร่วงลงมาอยู่ที่ลำดับที่ 92
หนังสือฉบับนี้ เป็นบทความต่อเนื่องจากสองบทความขนาดยาวที่เขียนขึ้นมาก่อนหน้านี้ ได้แก่ “ไพร่สู้ บนเส้นทาง 78 ปีประชาธิปไตย” (2552-2553) และ “ทำไมถึงไม่รักxxx (2553) แต่บทความเรื่องนี้เจาะลึกลงไปมากขึ้นถึงอำนาจของลัทธิศักดินาที่ยังคงคุมขังและทรมานพัฒนาการทางสังคมและการเมืองของคนในประเทศไทยอยู่จนถึงปัจจุบัน
*******************************************************************
อีกเล่มหนึ่ง
อนึ่งหนังสือเล่มนี้จะเป็นเอกสารหลักที่่ใช้ประกอบการบรรยายที่เวทีเสวนา "เบืองหลังวิกฤติประเทศไทย" ที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ในวันที่ 10 เมษายน 2554 เพื่อร่วมรำลึกถึงมรณกรรม 10 เมษายน 2553 ครบรอบ 1 ปี
******************************************************************
คัดจากเว็บไซต์ไทอีนิวส์
ด้วยความขอบคุณค่ะ
สุรชัยพินัยกรรม โดย กาหลิบ
สุรชัยพินัยกรรม โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เหล็ก ก็ย่อมเป็นเหล็ก เพชรก็ย่อมเป็นเพชร สุรชัย แซ่ด่าน ถึงจะได้รับนามสกุลพระราชทานหรือต้องประสบชะตากรรมในชีวิตอย่างไร ก็ยังคงเป็น สุรชัย แซ่ด่าน อยู่อย่างนั้น
นี่ ไม่ใช่เรื่องบูชาบุคคล หรือลุ่มหลงในลัทธิแฟนคลับ หรือบ้าอยู่กับปริมาณมวลชนจนมองไม่เห็นคุณภาพและความก้าวหน้าของมวลชนนั้น เอง มวลชนผู้พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยในระดับปฏิวัติ แต่ผู้นำกลับเห็นเขาเป็นแค่ตัวเลขที่มาเสริมแฟนตาซีของตัวเอง หรือมาเพิ่มอำนาจต่อรองในเกมขู่กรรโชกตื้นๆ ที่ล้มเหลวมาตลอดหลายปีแห่งการต่อสู้
นี่ คือเป็นความชื่นชมต่อจุดยืนของแนวร่วมรุ่นพ่อ-รุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เอาตัวเอง เป็นทั้งสาระและภาพแห่งการรณรงค์ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผ่านตัวแบบสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตย
เขียนอย่างนี้เพราะได้อ่านพินัยกรรมที่อาจารย์สุรชัยฯ เรียบเรียงและส่งออกมาจากคุก
ลอกมาไว้อีกครั้งเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน
“ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ ๖๙ ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ (ทำบายพาส ๗ ปี) ระบบขับถ่ายไม่ปกติ
ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้
๑. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
๒. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ
๓. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ
ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
๓๑ มีนาคม ๕๔ เวลา ๑๑.๑๕ น.
เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ”
ในเอกสารสั้นๆ ชิ้นนี้ อาจารย์สุรชัยฯ ได้วิเคราะห์สุขภาพตัวเองว่าไม่ปกติ อาจเกิดความฉุกเฉินขึ้นเมื่อใดก็ได้ การ “ฝากเรื่อง” ใน ประโยคต่อมา จึงสอดรับด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ความกระวนกระวายหรือห่วงใยในตนเอง แต่เป็นการทำงานต่อเนื่องของคนที่มอบชีวิตและจิตใจไว้กับการต่อสู้และมีความ ประสงค์จะให้ทุกมิติของตนเองเป็นประโยชน์ต่องานส่วนรวม
คำประกาศจะไม่ให้ “เผาศพ” จน กว่าคนไทยจะได้รับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ เป็นคำประกาศที่แสดงความหาญกล้าทางจริยธรรม คติไทยพุทธที่อาจารย์สุรชัยฯ เป็นศาสนิกย่อมยอมรับหลักการนำส่วนที่เหลือของจิตไปทำให้หมดไปเสีย เชื่อด้วยว่าการกระทำเช่นนั้นจะเป็นการช่วย “ตัด” ความ ยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตนของตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อประกาศชัดเจนในพินัยกรรม ก็มีความหมายว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง ก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางไว้เป็นภาระของคนอื่น
หาก การหลุดละจากสังสารวัฏเป็นเป้าหมายอันสูงสุด คนที่ประกาศเช่นนี้ก็พูดอย่างกล้าหาญไว้ว่า ตนยังไม่ขอรับความสุขในระดับวิมุตินั้น จนกว่าคนในสังคมเดียวกันจะรอดพ้นจากทุกข์ด้วย
ความ แน่วแน่อย่างนี้มีในตัวคนชื่อ สุรชัย แซ่ด่าน มานานแล้ว จนมีผู้ศรัทธานับถือทั่วไป ยิ่งหากได้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และ ๓ เมื่อเวลามาถึงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งตอกย้ำความหนักแน่น มั่นคง และความมุ่งผลเปลี่ยนแปลงในสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ของสังคมให้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนรุ่นที่เดินตามมา
ใคร กำลังเล่นเกมการเมืองอย่างไรก็ตาม ใครใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นธงนำชีวิตของตนเองจนเกิดความสับสนต่อมวลชนผู้ บริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม หากพ่อแม่ของเขามีปัญญาสอนอะไรดีๆ มาบ้าง อ่านข้อเขียนสั้นๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะได้ยั้งคิด
พินัยกรรม นี้บอกเราว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็แล้วกัน โดยไม่มีแนวคิดอื่นใดรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอีกเลย
พินัยกรรม นี้บอกเราว่าการต่อสู้โดยคนๆ เดียวแต่ได้รับความศรัทธายอมรับจากคนทั้งหลาย ในที่สุดก็ก่อกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้
และพินัยกรรมนี้บอกเราว่า การต่อสู้รอบนี้คุ้มค่าต่อการเสียสละทุกอย่างในตนเอง.
------------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เหล็ก ก็ย่อมเป็นเหล็ก เพชรก็ย่อมเป็นเพชร สุรชัย แซ่ด่าน ถึงจะได้รับนามสกุลพระราชทานหรือต้องประสบชะตากรรมในชีวิตอย่างไร ก็ยังคงเป็น สุรชัย แซ่ด่าน อยู่อย่างนั้น
นี่ ไม่ใช่เรื่องบูชาบุคคล หรือลุ่มหลงในลัทธิแฟนคลับ หรือบ้าอยู่กับปริมาณมวลชนจนมองไม่เห็นคุณภาพและความก้าวหน้าของมวลชนนั้น เอง มวลชนผู้พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยในระดับปฏิวัติ แต่ผู้นำกลับเห็นเขาเป็นแค่ตัวเลขที่มาเสริมแฟนตาซีของตัวเอง หรือมาเพิ่มอำนาจต่อรองในเกมขู่กรรโชกตื้นๆ ที่ล้มเหลวมาตลอดหลายปีแห่งการต่อสู้
นี่ คือเป็นความชื่นชมต่อจุดยืนของแนวร่วมรุ่นพ่อ-รุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เอาตัวเอง เป็นทั้งสาระและภาพแห่งการรณรงค์ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผ่านตัวแบบสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตย
เขียนอย่างนี้เพราะได้อ่านพินัยกรรมที่อาจารย์สุรชัยฯ เรียบเรียงและส่งออกมาจากคุก
ลอกมาไว้อีกครั้งเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน
“ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ ๖๙ ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ (ทำบายพาส ๗ ปี) ระบบขับถ่ายไม่ปกติ
ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้
๑. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
๒. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ
๓. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ
ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
๓๑ มีนาคม ๕๔ เวลา ๑๑.๑๕ น.
เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ”
ในเอกสารสั้นๆ ชิ้นนี้ อาจารย์สุรชัยฯ ได้วิเคราะห์สุขภาพตัวเองว่าไม่ปกติ อาจเกิดความฉุกเฉินขึ้นเมื่อใดก็ได้ การ “ฝากเรื่อง” ใน ประโยคต่อมา จึงสอดรับด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ความกระวนกระวายหรือห่วงใยในตนเอง แต่เป็นการทำงานต่อเนื่องของคนที่มอบชีวิตและจิตใจไว้กับการต่อสู้และมีความ ประสงค์จะให้ทุกมิติของตนเองเป็นประโยชน์ต่องานส่วนรวม
คำประกาศจะไม่ให้ “เผาศพ” จน กว่าคนไทยจะได้รับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ เป็นคำประกาศที่แสดงความหาญกล้าทางจริยธรรม คติไทยพุทธที่อาจารย์สุรชัยฯ เป็นศาสนิกย่อมยอมรับหลักการนำส่วนที่เหลือของจิตไปทำให้หมดไปเสีย เชื่อด้วยว่าการกระทำเช่นนั้นจะเป็นการช่วย “ตัด” ความ ยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตนของตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อประกาศชัดเจนในพินัยกรรม ก็มีความหมายว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง ก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางไว้เป็นภาระของคนอื่น
หาก การหลุดละจากสังสารวัฏเป็นเป้าหมายอันสูงสุด คนที่ประกาศเช่นนี้ก็พูดอย่างกล้าหาญไว้ว่า ตนยังไม่ขอรับความสุขในระดับวิมุตินั้น จนกว่าคนในสังคมเดียวกันจะรอดพ้นจากทุกข์ด้วย
ความ แน่วแน่อย่างนี้มีในตัวคนชื่อ สุรชัย แซ่ด่าน มานานแล้ว จนมีผู้ศรัทธานับถือทั่วไป ยิ่งหากได้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และ ๓ เมื่อเวลามาถึงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งตอกย้ำความหนักแน่น มั่นคง และความมุ่งผลเปลี่ยนแปลงในสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ของสังคมให้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนรุ่นที่เดินตามมา
ใคร กำลังเล่นเกมการเมืองอย่างไรก็ตาม ใครใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นธงนำชีวิตของตนเองจนเกิดความสับสนต่อมวลชนผู้ บริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม หากพ่อแม่ของเขามีปัญญาสอนอะไรดีๆ มาบ้าง อ่านข้อเขียนสั้นๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะได้ยั้งคิด
พินัยกรรม นี้บอกเราว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็แล้วกัน โดยไม่มีแนวคิดอื่นใดรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอีกเลย
พินัยกรรม นี้บอกเราว่าการต่อสู้โดยคนๆ เดียวแต่ได้รับความศรัทธายอมรับจากคนทั้งหลาย ในที่สุดก็ก่อกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้
และพินัยกรรมนี้บอกเราว่า การต่อสู้รอบนี้คุ้มค่าต่อการเสียสละทุกอย่างในตนเอง.
------------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
ข่าวหลวงปู่ ดุจน้ำอมฤต
อ.สุรชัย ฝากข่าวถึงมวลชนเสื้อแดงที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยสู่ประเทศที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทางทีมงานจึงรายงานข่าว ดังนี้
1. ขณะนี้ มีการฝากขัง 2 ครั้ง แต่ยังเหลือพยานอีก 1 ปากที่ยังสอบไม่เสร็จสิ้น และขณะนี้สำนวนได้ถูกส่งไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้คณะกรรมการตราวจสอบสำนวน ดังนั้น ผู้ที่มีสิทธิ์สั่งให้มีการประกันตัวจึงอยู่ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เท่านั้น
2. ถ้าหากไม่ได้รับการประกันตัว หรือ ไม่มีการสั่งการปล่อยตัว เพราะมีเจตนาแอบแฝง เพราะคดีของอาจารย์ไม่ใช่อาชญากร เป็นเพียงอาชญากรรมทางความคิดเท่านั้น
3. ทางทีมทนายและผู้ดูแล ยังไม่ได้ยื่นประกัน เพราะต้องดูรูปการณ์และสัญญาณต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของ อ.สุรชัย เป็นสิ่งสำคัญ
4. ถ้าหากไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้นศาลควรอนุญาติให้ประกันตัว อ.สุรชัย และคดี ม.112 อื่น เพราะไม่ได้มีเจตนาจะหลบหนี โดยดูจากคดีที่กำลังขึ้นศาลที่ผ่านมา 2 คดี มีการยื่นประกันตัว และไปขึ้นศาลตามปกติทุกครั้ง เพราะฉะนั้นการชี้แจ้งว่า อ.สุรชัยจะหลบหนี อ.สุรชัย จึงชี้แจ้งว่าเป็นประเด็นที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
5. ฝากถึงพี่น้องเสื้อแดงให้ไปร่วมกับแดงสยามและเครือข่ายประชาธิปไตยทุกเวทีและทุกงานเสวนา ที่มีการจัดงานเกี่ยวกับ ม.112 และการปล่อยตัวนักโทษการเมืองอย่างไม่มีเงื่อนไข
สุดท้าย อ.สุรชัย ขอให้พี่น้องทุกคนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และ สิทธิที่เท่าเทียมกันของพี่น้องใประเทศ
สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
4 เมย. 54 เวลา 11.15 น.
เรือนจำพิเศษกลางกรุงเทพ (คลองเปรม)
http://www.redsiam.tv/webboard/index.php...411#msg411
ติดตามข่าวของอ.สุรชัย ได้ที่เวบบอร์ด http://www.redsiam.tv
รวมเรื่องแสบ แสบ
บันทึกนี้ผู้เขียนขอรวบรวมกระทู้ของ Login ที่น่าสนใจ
คัดมาเพื่ออ่านเฉยๆเท่านั้น..กันลืม
*********************************************
ลองดูบทเริ่ม...
ถีบหอยกระทืบหำ..ไอ้อีจัญไร .. ไปไกลๆส้นตีน...
อีหอยอ้อม อีดอกบุ๋ม กลุ่มheeเน่า
ออกมาเห่า น่ารำคาญ ร่านฉิบหาย
มึงอยากคิด จะทำเหิ้ย ส้นตีนไร
ก็ทำไป อย่ามาเห่า เขารำคาญ
อีดอกเก๋ อีช้างตอง ยกย่องนัก
จะจมปลัก ก็ช่างมึง อย่าเห่าขาน
ไปไกลๆ นะอีห่า อีนางมาร
แหมอาจหาญ ตายแทนได้ ใครถามมึง
เพราะอยากดัง อยากเด่น นึกว่าเด็ด
น่าสมเพท ไร้สมอง ทำขังขึง
คิดว่าสวย ถึงเห่าได้ หรือไงมึง
จะดูดลึงค์ หรือเลียหำ ก็ทำไป
สวยแค่ไหน ไร้ราคา ถ้าโง่จัด
ก็แค่สัตว์ อมนุษย์ มึงเป็นได้
ถามนิดนึง พ่อแม่มึง สอนยังไง
ชอบเป็นควาย ยอมเป็นทาส ขลาดเป็นไท
อีโสดสี heeเน่า อีเหลาเย่
ทำเป็นเท่ห์ ไปเชียร์พักการเมืองใหม่
แล้วมาเห่า ว่าเป็นกลาง ได้อย่างไร
มึงฝักใฝ่ พันธมิตร จิตระยำ
หาสิ่งที่ ดีไม่ได้ ในตอแหล
ไอ้จอมแถ อีจัญไร ไอ้หอยหำ
ต้องกำจัด ให้สิ้นไป ไอ้อธรรม
อยากตอกย้ำ แดงต้องสู้ อย่าดูดาย....
--------------------------------------------------------------------------------
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจไอ้เหี้ยสุดกำหนด
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด ถึงคลองคดก็ไม่เหมือนใจมึง!
------------------------------------------------------------------------
สำหรับ..ไอ้หน้าheeเธื๊อก & โคตรพ่อโคตรแม่มึง...ไอ่เหิ้ย...
โถ ..ไอ้เธื๊อก หน้าหนังhee มีแต่ชั่ว
แม่งเมามัว บ้ากามา สัตว์หน้าขน
โกง กิน แดก สารพัด สัปดน
ไอ้หน้าโจร สันดานสัตว์ เห็นชัดเจน
มึงทำชั่ว มึงไล่ฆ่า เอะอะเผา
มึงชอบเอา เมียของเพื่อน ใครก็เห็น
แม้นheeควาย ยังดีกว่า หน้าไอ้เวร
หน้ามึงเหม็น เพราะเลียhee อีดอกทอง
หน้าแม่งด้าน จัญไร ไร้สาระ
เที่ยวเปะปะ โยนบาปให้ แดงทั้งผอง
สักวันนึง เลือดในหัว มึงต้องนอง
เพราะคนจ้อง เจาะหัวมึง ไอ้ลึงค์ดำ
โคตรพ่อมึง คงชั่วช้า หาใดเปรียบ
ใจมันเทียบ เท่าheeมด สันดานต่ำ
ทำร้ายคน ไร้ทางสู้ ไอ้ระยำ
มึงต้องช้ำ ใจตายห่า อย่าอวดดี
โคตรแม่มึง คงดอกทอง จ้องอิจฉา
ริษยา คนเก่งดี อีบัดสี
เหมือนอีบ้า อ้าหุบแหก อีอัปรีย์
จนเป็นที่ เลื่องลือ ระบือไกล
ทำแต่ความ ชาติชั่วช้า นะไอ้เหิ้ย
เอาแต่เลีย แต่ดูดหำ ติดนิสัย
ทั่วทั้งโลก เขารู้ว่า มึงเป็นใคร
เมื่อไหร่ตาย คนไทยสุข หมดทุกข์ใจ.......
(ต่อ)
RE: ....สำหรับ..ไอ้หน้าheeเธื๊อก & โคตรพ่อโคตรแม่มึง...ไอ่เหิ้ย...
เขียนหนังสือ มาตอแหล แถไปทั่ว
ไอ้ชาติชั่ว ตัวก็ดำ ต่ำฉิบหาย
ลูกอีดอก ไอ้สัตว์หมา หรือไอ้ควาย
ช่างโยกย้าย ยอกย้อน สำส่อนจัง
สัตว์นรก ที่ว่าต่ำ ระยำชั่ว
ยังไม่มั่ว เหมือนตัวมึง ถูกปลูกฝัง
แต่สิ่งทราม กามตัญหา ไม่บันยัง
พ่อมึงสั่ง แม่มึงสอน ตอนใกล้ตาย
มึงมาแถ แหลแหลก แหกไปทั่ว
ตามืดมัว heeปิดหน้า ไอ้ฉิบหาย
รอถึงวัน พ่อมึงสิ้น ดับดิ้นไป
มึงจะได้ ตกนรก หมกไหม้มรณ์....
(ต่อ)
RE: ....สำหรับ..ไอ้หน้าheeเธื๊อก & โคตรพ่อโคตรแม่มึง...ไอ่เหิ้ย...
จรกา หน้าheeเป็ด yedเมียเพื่อน
ชอบบิดเบือน ความจริง ทุกสิ่งสรร
แม่งทำชั่ว แล้วกล่าวหา สารพัน
ว่าแดงนั้น เป็นคนทำ ระยำจริง
ตอนนี้มี อำนาจ ทำบาทใหญ่
ไอ้จัญไร สุดชั่วช้า กว่าเสือสิงห์
ปากตอแหล ใจอัปรีย์ สันชาติปลิง
ชั่วทุกสิ่ง ทั้งหน้าตา อย่าแคลงใจ
หน้าก็ดำ ใจก็ดำ ซ้ำแสนชั่ว
มึงเมามัว มั่วเหมือนแม่ มึงใช่ไหม
เป็นกระหรี่ ดอกทอง เกินกว่าใคร
เอาไปได้ กับทุกตัว ผัวทั้งเมือง
คงรอวัน พ่อมึงตาย โหง ตายห่า
คงไม่ช้า จะรอคอย ให้หมดเรื่อง
คงมีตัว แย่งสมบัติ และบ้านเมือง
คงมีเคือง ฆ่ากันตาย ในบ้านมึง
จะนั่งรอ หัวเราะ ต่อกระซิก
นั่งกระดิก ตีนรอ เมื่อนึกถึง
คงฉิบหาย วายวอด จนสุดซึ้ง
เมื่อมาถึง วันนั้น มันแน่นอน.....
---------------------------------------------------------
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจไอ้เหี้ยสุดกำหนด
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด ถึงคลองคดก็ไม่เหมือนใจมึง!
---------------------------------------------------------
(ต่อ) บันทึกนี้ใช้ภาษาไทยแสบสันต์
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
" เฮ๊ย ! ไอ้เหล๊..เป็นไง..เอาหน้ามุดรูแม่มึงเลยนะ..
ระวังแม่มึงเอาh..ตบหน้านะ.งามหน้า? "
โถ โถ.. โถ..ไอ้kวยเหล๊ อุตส้าห์..อุตส่าห์ หาม๊อบ
ทะเหี้ย ม๊อบขนรูดาก ออกมาต่อต้านคนเสื้อแDง
เป็นไง งามหน้า งามใส้ ไม๊ ไอ้หน้าheeกระหรี่
เงินที่มึงให้ลูกกระโปกมึง เอาไปจ้างพวกวัวควายมา
โดน อมหมด ไม่มีพอไปจ้าง แถมไปเจอคนเสื้อแDง
ที่มากันเองด้วยหัวใจ ระดมแป๊บเดียวเป็นพันคน
ไอ้พวกขนหมอยกระจัดกระจายเหมือนหมอยโดนพายุ
หนีหัวซุกหัวซุน แถมด่าคนจ้างเพราะได้ค่าจ้างไม่ครบอีก
มึงอายไม่วะไอ้หน้าด้าน กูว่านะ รีบหนีไปเอาหน้าซุกหว่างheeแม่มึงเลยนะ
ไปโลดเลย แต่กูกลัวว่าแม่มึงจะเอา hee ตบหน้ามึงน่ะซิ
ฐานทำงานไม่สำเร็จ นำความอาย ความเสื่อม ๆ ๆ ๆ ๆ ยิ่งกว่าเดิม
ไอ้เหล๊ ไอ้เหี้ย งานแค่นี้ยังโชว์โง่ โชว์ความควาย แล้วเหงี้ยนจะเป็นใหญ่
ถุยส์ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ขอถุยใส่หน้ามึงว่ะ ไอ้กระจอก ไอ้อัปรีย์ เห่าหอน
ไร้สาระ มีคนเสื้อแDงคนไหนกลัวมึงวะ ตั้งแต่เกิดมากูพึ่งเห็นว่ะ
ที่ทะเหี้ยตำแหน่งใหญ่ โดนก่นด่า สาปแช่ง โดนเรียกไอ้เหล่ ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์
สารพัดชื่อต่ำทรามที่มึงได้รับการขนานนาม ไปลาheeหมาตายดีกว่ามั๊ง
ไอ้หน้ากระดอหมาเน่า ไอ้เหี้ยเหล๊ ไอ้ระยำ !ไอ้หน้า..(มีรูปประกอบ)
...............................................................
..ไอ้ก้อน ไอ้หน้าhee กับเมียดอกyed ของมึง เค้าแดกไวน์แล้วเยี่ยวรดหัวพ่อมึงเหรอ ...เสือก
ฟังประเด็นนี้แล้วโคตรหงุดหงิดฉิบหาย อีดอกทองเมียมึง อีheeสาธารณะ
มึงเสือกอะไรกับพวกกูวะ นาดทะวุด จะกินไวน์ขวดละเท่าไหร่
เค้าเอาเงินโคตรพ่อโคตรแม่มึงมาหรือไง หรือเค้าแดกแล้ว
ไปขี้ไปเยี่ยวรดหัวพ่อมึงหรือไง ไอ้สันดานชั่ว ขี้อิจฉา ลูกอีดอก
อยู่ดีไม่ว่าดี เป็นไงเมียมึงโดนเอาhee มาแหกประจาน ร่านแต่เด็ก
อีช้างลากนี่ก็ปากดอกกระทือจริงๆ ไม่สำนึกตัวเลยว่าประวัติเน่า
แล้วยังจะมาสาระแนโชว์ตัว อีดอกโง่ อีควาย อีเวร สารเลวจริงๆ
ไอ้สัตว์ก้อนนี่ก็ควายจริงๆ ให้เมียheeเน่าจูงจมูกยังกะจูงkวย
ไอ้ควาย หยุดไปเลยนะไอ้หน้าkวย ปากแม่งช่างกระแนะกระแหน
มึงสองตัวผัวเมียจะแดกน้ำกามกันขนาดไหน มีใครเค้าไปแส่เสือก
เรื่องมึงไม๊ ถ้ามึงไม่มาเสือกเรื่องคนอื่นก่อน เป็นไงคุ้มค่าโง่ไม๊
ไอ้อีควาย อีผู้ดีheeเน่า กูรำคาญจริงๆต้องมาเขียนถึงเหี้ยนรก
อย่างพวกมึง อีดอกไปดูแลลูกสาวมึงให้ดีๆแล้วกัน จะตามรอยมึง
ลูกชายอีกสามตัวของมึงก็คงหาเมียได้แบบมึงแหละ ของเหลือเดน
อีสัตว์ จริงๆกูไม่อยากด่าผู้หญิงนะ แต่มึงกวนส้นตีนจริงๆ
........................
วันนี้ไปวัดมา เอาบุญมาฝากพี่น้องเพื่อนๆเสื้อแDงนะคะ...สาธุ
วันอังคารนี้จะไปวัดอีกจะเอาบุญมาฝากอีกค่ะ ....
คัดมาเพื่ออ่านเฉยๆเท่านั้น..กันลืม
*********************************************
ลองดูบทเริ่ม...
ถีบหอยกระทืบหำ..ไอ้อีจัญไร .. ไปไกลๆส้นตีน...
อีหอยอ้อม อีดอกบุ๋ม กลุ่มheeเน่า
ออกมาเห่า น่ารำคาญ ร่านฉิบหาย
มึงอยากคิด จะทำเหิ้ย ส้นตีนไร
ก็ทำไป อย่ามาเห่า เขารำคาญ
อีดอกเก๋ อีช้างตอง ยกย่องนัก
จะจมปลัก ก็ช่างมึง อย่าเห่าขาน
ไปไกลๆ นะอีห่า อีนางมาร
แหมอาจหาญ ตายแทนได้ ใครถามมึง
เพราะอยากดัง อยากเด่น นึกว่าเด็ด
น่าสมเพท ไร้สมอง ทำขังขึง
คิดว่าสวย ถึงเห่าได้ หรือไงมึง
จะดูดลึงค์ หรือเลียหำ ก็ทำไป
สวยแค่ไหน ไร้ราคา ถ้าโง่จัด
ก็แค่สัตว์ อมนุษย์ มึงเป็นได้
ถามนิดนึง พ่อแม่มึง สอนยังไง
ชอบเป็นควาย ยอมเป็นทาส ขลาดเป็นไท
อีโสดสี heeเน่า อีเหลาเย่
ทำเป็นเท่ห์ ไปเชียร์พักการเมืองใหม่
แล้วมาเห่า ว่าเป็นกลาง ได้อย่างไร
มึงฝักใฝ่ พันธมิตร จิตระยำ
หาสิ่งที่ ดีไม่ได้ ในตอแหล
ไอ้จอมแถ อีจัญไร ไอ้หอยหำ
ต้องกำจัด ให้สิ้นไป ไอ้อธรรม
อยากตอกย้ำ แดงต้องสู้ อย่าดูดาย....
--------------------------------------------------------------------------------
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจไอ้เหี้ยสุดกำหนด
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด ถึงคลองคดก็ไม่เหมือนใจมึง!
------------------------------------------------------------------------
สำหรับ..ไอ้หน้าheeเธื๊อก & โคตรพ่อโคตรแม่มึง...ไอ่เหิ้ย...
โถ ..ไอ้เธื๊อก หน้าหนังhee มีแต่ชั่ว
แม่งเมามัว บ้ากามา สัตว์หน้าขน
โกง กิน แดก สารพัด สัปดน
ไอ้หน้าโจร สันดานสัตว์ เห็นชัดเจน
มึงทำชั่ว มึงไล่ฆ่า เอะอะเผา
มึงชอบเอา เมียของเพื่อน ใครก็เห็น
แม้นheeควาย ยังดีกว่า หน้าไอ้เวร
หน้ามึงเหม็น เพราะเลียhee อีดอกทอง
หน้าแม่งด้าน จัญไร ไร้สาระ
เที่ยวเปะปะ โยนบาปให้ แดงทั้งผอง
สักวันนึง เลือดในหัว มึงต้องนอง
เพราะคนจ้อง เจาะหัวมึง ไอ้ลึงค์ดำ
โคตรพ่อมึง คงชั่วช้า หาใดเปรียบ
ใจมันเทียบ เท่าheeมด สันดานต่ำ
ทำร้ายคน ไร้ทางสู้ ไอ้ระยำ
มึงต้องช้ำ ใจตายห่า อย่าอวดดี
โคตรแม่มึง คงดอกทอง จ้องอิจฉา
ริษยา คนเก่งดี อีบัดสี
เหมือนอีบ้า อ้าหุบแหก อีอัปรีย์
จนเป็นที่ เลื่องลือ ระบือไกล
ทำแต่ความ ชาติชั่วช้า นะไอ้เหิ้ย
เอาแต่เลีย แต่ดูดหำ ติดนิสัย
ทั่วทั้งโลก เขารู้ว่า มึงเป็นใคร
เมื่อไหร่ตาย คนไทยสุข หมดทุกข์ใจ.......
(ต่อ)
RE: ....สำหรับ..ไอ้หน้าheeเธื๊อก & โคตรพ่อโคตรแม่มึง...ไอ่เหิ้ย...
เขียนหนังสือ มาตอแหล แถไปทั่ว
ไอ้ชาติชั่ว ตัวก็ดำ ต่ำฉิบหาย
ลูกอีดอก ไอ้สัตว์หมา หรือไอ้ควาย
ช่างโยกย้าย ยอกย้อน สำส่อนจัง
สัตว์นรก ที่ว่าต่ำ ระยำชั่ว
ยังไม่มั่ว เหมือนตัวมึง ถูกปลูกฝัง
แต่สิ่งทราม กามตัญหา ไม่บันยัง
พ่อมึงสั่ง แม่มึงสอน ตอนใกล้ตาย
มึงมาแถ แหลแหลก แหกไปทั่ว
ตามืดมัว heeปิดหน้า ไอ้ฉิบหาย
รอถึงวัน พ่อมึงสิ้น ดับดิ้นไป
มึงจะได้ ตกนรก หมกไหม้มรณ์....
(ต่อ)
RE: ....สำหรับ..ไอ้หน้าheeเธื๊อก & โคตรพ่อโคตรแม่มึง...ไอ่เหิ้ย...
จรกา หน้าheeเป็ด yedเมียเพื่อน
ชอบบิดเบือน ความจริง ทุกสิ่งสรร
แม่งทำชั่ว แล้วกล่าวหา สารพัน
ว่าแดงนั้น เป็นคนทำ ระยำจริง
ตอนนี้มี อำนาจ ทำบาทใหญ่
ไอ้จัญไร สุดชั่วช้า กว่าเสือสิงห์
ปากตอแหล ใจอัปรีย์ สันชาติปลิง
ชั่วทุกสิ่ง ทั้งหน้าตา อย่าแคลงใจ
หน้าก็ดำ ใจก็ดำ ซ้ำแสนชั่ว
มึงเมามัว มั่วเหมือนแม่ มึงใช่ไหม
เป็นกระหรี่ ดอกทอง เกินกว่าใคร
เอาไปได้ กับทุกตัว ผัวทั้งเมือง
คงรอวัน พ่อมึงตาย โหง ตายห่า
คงไม่ช้า จะรอคอย ให้หมดเรื่อง
คงมีตัว แย่งสมบัติ และบ้านเมือง
คงมีเคือง ฆ่ากันตาย ในบ้านมึง
จะนั่งรอ หัวเราะ ต่อกระซิก
นั่งกระดิก ตีนรอ เมื่อนึกถึง
คงฉิบหาย วายวอด จนสุดซึ้ง
เมื่อมาถึง วันนั้น มันแน่นอน.....
---------------------------------------------------------
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจไอ้เหี้ยสุดกำหนด
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด ถึงคลองคดก็ไม่เหมือนใจมึง!
---------------------------------------------------------
(ต่อ) บันทึกนี้ใช้ภาษาไทยแสบสันต์
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
" เฮ๊ย ! ไอ้เหล๊..เป็นไง..เอาหน้ามุดรูแม่มึงเลยนะ..
ระวังแม่มึงเอาh..ตบหน้านะ.งามหน้า? "
โถ โถ.. โถ..ไอ้kวยเหล๊ อุตส้าห์..อุตส่าห์ หาม๊อบ
ทะเหี้ย ม๊อบขนรูดาก ออกมาต่อต้านคนเสื้อแDง
เป็นไง งามหน้า งามใส้ ไม๊ ไอ้หน้าheeกระหรี่
เงินที่มึงให้ลูกกระโปกมึง เอาไปจ้างพวกวัวควายมา
โดน อมหมด ไม่มีพอไปจ้าง แถมไปเจอคนเสื้อแDง
ที่มากันเองด้วยหัวใจ ระดมแป๊บเดียวเป็นพันคน
ไอ้พวกขนหมอยกระจัดกระจายเหมือนหมอยโดนพายุ
หนีหัวซุกหัวซุน แถมด่าคนจ้างเพราะได้ค่าจ้างไม่ครบอีก
มึงอายไม่วะไอ้หน้าด้าน กูว่านะ รีบหนีไปเอาหน้าซุกหว่างheeแม่มึงเลยนะ
ไปโลดเลย แต่กูกลัวว่าแม่มึงจะเอา hee ตบหน้ามึงน่ะซิ
ฐานทำงานไม่สำเร็จ นำความอาย ความเสื่อม ๆ ๆ ๆ ๆ ยิ่งกว่าเดิม
ไอ้เหล๊ ไอ้เหี้ย งานแค่นี้ยังโชว์โง่ โชว์ความควาย แล้วเหงี้ยนจะเป็นใหญ่
ถุยส์ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ขอถุยใส่หน้ามึงว่ะ ไอ้กระจอก ไอ้อัปรีย์ เห่าหอน
ไร้สาระ มีคนเสื้อแDงคนไหนกลัวมึงวะ ตั้งแต่เกิดมากูพึ่งเห็นว่ะ
ที่ทะเหี้ยตำแหน่งใหญ่ โดนก่นด่า สาปแช่ง โดนเรียกไอ้เหล่ ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์
สารพัดชื่อต่ำทรามที่มึงได้รับการขนานนาม ไปลาheeหมาตายดีกว่ามั๊ง
ไอ้หน้ากระดอหมาเน่า ไอ้เหี้ยเหล๊ ไอ้ระยำ !ไอ้หน้า..(มีรูปประกอบ)
...............................................................
..ไอ้ก้อน ไอ้หน้าhee กับเมียดอกyed ของมึง เค้าแดกไวน์แล้วเยี่ยวรดหัวพ่อมึงเหรอ ...เสือก
ฟังประเด็นนี้แล้วโคตรหงุดหงิดฉิบหาย อีดอกทองเมียมึง อีheeสาธารณะ
มึงเสือกอะไรกับพวกกูวะ นาดทะวุด จะกินไวน์ขวดละเท่าไหร่
เค้าเอาเงินโคตรพ่อโคตรแม่มึงมาหรือไง หรือเค้าแดกแล้ว
ไปขี้ไปเยี่ยวรดหัวพ่อมึงหรือไง ไอ้สันดานชั่ว ขี้อิจฉา ลูกอีดอก
อยู่ดีไม่ว่าดี เป็นไงเมียมึงโดนเอาhee มาแหกประจาน ร่านแต่เด็ก
อีช้างลากนี่ก็ปากดอกกระทือจริงๆ ไม่สำนึกตัวเลยว่าประวัติเน่า
แล้วยังจะมาสาระแนโชว์ตัว อีดอกโง่ อีควาย อีเวร สารเลวจริงๆ
ไอ้สัตว์ก้อนนี่ก็ควายจริงๆ ให้เมียheeเน่าจูงจมูกยังกะจูงkวย
ไอ้ควาย หยุดไปเลยนะไอ้หน้าkวย ปากแม่งช่างกระแนะกระแหน
มึงสองตัวผัวเมียจะแดกน้ำกามกันขนาดไหน มีใครเค้าไปแส่เสือก
เรื่องมึงไม๊ ถ้ามึงไม่มาเสือกเรื่องคนอื่นก่อน เป็นไงคุ้มค่าโง่ไม๊
ไอ้อีควาย อีผู้ดีheeเน่า กูรำคาญจริงๆต้องมาเขียนถึงเหี้ยนรก
อย่างพวกมึง อีดอกไปดูแลลูกสาวมึงให้ดีๆแล้วกัน จะตามรอยมึง
ลูกชายอีกสามตัวของมึงก็คงหาเมียได้แบบมึงแหละ ของเหลือเดน
อีสัตว์ จริงๆกูไม่อยากด่าผู้หญิงนะ แต่มึงกวนส้นตีนจริงๆ
........................
วันนี้ไปวัดมา เอาบุญมาฝากพี่น้องเพื่อนๆเสื้อแDงนะคะ...สาธุ
วันอังคารนี้จะไปวัดอีกจะเอาบุญมาฝากอีกค่ะ ....
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554
ชวนไพร่มาไล่อำมาตย์
เป็นบทความที่เขียนในเว็บไซต์ Internet Freedom
โดยคุณ Leeds 01
ชื่นชอบ จึงคัดมาเก็บไว้เพื่ออ่าน
************************************
หากใครที่ได้ติดตามข่าวของเวทีเสื้อแดง เราจะเห็นว่าคอนเซปต์ของเวทีเสื้อแดงก็คือ ชวนไพร่มาไล่ “อำมาตย์” คำถามก็คือคำว่า“อำมาตย์”ของผู้นำคนเสื้อแดงหมายถึงใคร?
หลายครั้ง ที่ทักษิณโฟนอิน มีเนื้อหาที่ชวนให้คนไทยทุกคนต้องร่วมกันคิด และจากการรวบรวมคำพูดของทักษิณที่โฟนอินทั้งสี่วันที่ผ่านมา ขอตั้งคำถามกับทักษิณว่าคำว่า “อำมาตย์”ของคุณนั้นหมายถึงใคร???
1.ทักษิณ บอกว่า “อำมาตย์อายุแปดสิบกว่าแล้ว” ถามว่าอำมาตย์คนไหนอายุแปดสิบ ปากก็มุ่งโจมตีพลเอกเปรม แต่คนอย่างทักษิณจะไม่รู้เชียวหรือว่าพลเอกเปรมนั้น อายุเก้าสิบเอ็ดปีแล้ว คำถามคือ “อำมาตย์”ที่ทักษิณว่าอายุแปดสิบกว่านั้นหมายถึงใคร?
2.ทักษิณ บอกว่าอำมาตย์นั้นรวยแล้ว มีมรดกเพียงพอแก่ลูกหลานแล้ว ปล่อยประชาชนไปเถอะ คำถามก็คือ พลเอกเปรมฯที่ทักษิณว่าเป็นอำมาตย์นั้น ท่านมีลูกหรือเปล่า ท่านไม่เคยแต่งงาน และไม่มีลูก!!!แล้วคำว่าอำมาตย์ที่ว่านั้นหมายถึงใคร????
3.ทักษิณ บอกว่าอำมาตย์ไทยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับเหมือนกับในประเทศที่ พัฒนาแล้ว เพราะไทยมีวัฒนธรรมประเพณีศาสนาที่มั่นคง คำถามก็คือทักษิณกำลังหมายถึงใคร???
4.ทักษิณบอกว่าถ้าอำมาตย์รัก “ประชาชน” จริงก็ต้องเลิกอุ้มอีกฝ่ายหนึ่ง ถามว่าคำว่า “ประชาชน”ในบริบทนี้โดยทั่วไปเราจะใช้กับใคร???
5.ทักษิณพูดว่ามีคน ไป “เท็จทูล”อำมาตย์ คำว่าเท็จทูลนี้เราจะใช้กับใคร??? พลเอกเปรมหรือ???
6.ทักษิณ บอกให้อำมาตย์เลิกเอาไม้ค้ำประชาชนได้แล้ว เพราะไม้ค้ำนั้นเป็นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ คำถามก็คือ “ความศักดิ์สิทธิ์”ที่เราพวกเราชาวไทยเคารพนับถือนั้นคือใคร!!!
7.ทักษิณ บอกว่า อำมาตย์ไปอยู่เหนือการเมืองเถอะ อำมาตย์ในที่นี้หมายถึงใคร เพราะในรัฐธรรมนูญมีกฏหมายบางข้อที่เขียนว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง!!!
8.ทักษิณพูดว่า “คนที่บอกให้ผมพัก ทำไมไม่บอกให้นายอภิสิทธิ์พักบ้าง” ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์วันที่ 5 เมษายน 2549 ที่ทักษิณออกมาแถลงว่าจะเว้นวรรคโดยการไม่รับตำแหน่งนายก หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นคนที่บอกให้ผมพัก คนนั้นทักษิณหมายถึงใคร!!!
9.ทักษิณทวงระบอบประชาธิปไตยโดยผ่านการ โฟนอิน และเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยเพื่อประชาชน แทนที่จะบอกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!!!
************************************************
ระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชน เพื่อประชาชน ของประชาชน ..นะเจ้าค่ะ..
************************************************
ขอบวาทะกรรมนี้ ได้มาจากเว็บไซต์ฝากรูป ขอบคุณนะเจ้าคะ
โดยคุณ Leeds 01
ชื่นชอบ จึงคัดมาเก็บไว้เพื่ออ่าน
************************************
หากใครที่ได้ติดตามข่าวของเวทีเสื้อแดง เราจะเห็นว่าคอนเซปต์ของเวทีเสื้อแดงก็คือ ชวนไพร่มาไล่ “อำมาตย์” คำถามก็คือคำว่า“อำมาตย์”ของผู้นำคนเสื้อแดงหมายถึงใคร?
หลายครั้ง ที่ทักษิณโฟนอิน มีเนื้อหาที่ชวนให้คนไทยทุกคนต้องร่วมกันคิด และจากการรวบรวมคำพูดของทักษิณที่โฟนอินทั้งสี่วันที่ผ่านมา ขอตั้งคำถามกับทักษิณว่าคำว่า “อำมาตย์”ของคุณนั้นหมายถึงใคร???
1.ทักษิณ บอกว่า “อำมาตย์อายุแปดสิบกว่าแล้ว” ถามว่าอำมาตย์คนไหนอายุแปดสิบ ปากก็มุ่งโจมตีพลเอกเปรม แต่คนอย่างทักษิณจะไม่รู้เชียวหรือว่าพลเอกเปรมนั้น อายุเก้าสิบเอ็ดปีแล้ว คำถามคือ “อำมาตย์”ที่ทักษิณว่าอายุแปดสิบกว่านั้นหมายถึงใคร?
2.ทักษิณ บอกว่าอำมาตย์นั้นรวยแล้ว มีมรดกเพียงพอแก่ลูกหลานแล้ว ปล่อยประชาชนไปเถอะ คำถามก็คือ พลเอกเปรมฯที่ทักษิณว่าเป็นอำมาตย์นั้น ท่านมีลูกหรือเปล่า ท่านไม่เคยแต่งงาน และไม่มีลูก!!!แล้วคำว่าอำมาตย์ที่ว่านั้นหมายถึงใคร????
3.ทักษิณ บอกว่าอำมาตย์ไทยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับเหมือนกับในประเทศที่ พัฒนาแล้ว เพราะไทยมีวัฒนธรรมประเพณีศาสนาที่มั่นคง คำถามก็คือทักษิณกำลังหมายถึงใคร???
4.ทักษิณบอกว่าถ้าอำมาตย์รัก “ประชาชน” จริงก็ต้องเลิกอุ้มอีกฝ่ายหนึ่ง ถามว่าคำว่า “ประชาชน”ในบริบทนี้โดยทั่วไปเราจะใช้กับใคร???
5.ทักษิณพูดว่ามีคน ไป “เท็จทูล”อำมาตย์ คำว่าเท็จทูลนี้เราจะใช้กับใคร??? พลเอกเปรมหรือ???
6.ทักษิณ บอกให้อำมาตย์เลิกเอาไม้ค้ำประชาชนได้แล้ว เพราะไม้ค้ำนั้นเป็นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ คำถามก็คือ “ความศักดิ์สิทธิ์”ที่เราพวกเราชาวไทยเคารพนับถือนั้นคือใคร!!!
7.ทักษิณ บอกว่า อำมาตย์ไปอยู่เหนือการเมืองเถอะ อำมาตย์ในที่นี้หมายถึงใคร เพราะในรัฐธรรมนูญมีกฏหมายบางข้อที่เขียนว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง!!!
8.ทักษิณพูดว่า “คนที่บอกให้ผมพัก ทำไมไม่บอกให้นายอภิสิทธิ์พักบ้าง” ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์วันที่ 5 เมษายน 2549 ที่ทักษิณออกมาแถลงว่าจะเว้นวรรคโดยการไม่รับตำแหน่งนายก หลังจากที่ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นคนที่บอกให้ผมพัก คนนั้นทักษิณหมายถึงใคร!!!
9.ทักษิณทวงระบอบประชาธิปไตยโดยผ่านการ โฟนอิน และเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยเพื่อประชาชน แทนที่จะบอกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!!!
************************************************
ระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชน เพื่อประชาชน ของประชาชน ..นะเจ้าค่ะ..
************************************************
ขอบวาทะกรรมนี้ ได้มาจากเว็บไซต์ฝากรูป ขอบคุณนะเจ้าคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)