สุรชัยพินัยกรรม โดย กาหลิบ
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เหล็ก ก็ย่อมเป็นเหล็ก เพชรก็ย่อมเป็นเพชร สุรชัย แซ่ด่าน ถึงจะได้รับนามสกุลพระราชทานหรือต้องประสบชะตากรรมในชีวิตอย่างไร ก็ยังคงเป็น สุรชัย แซ่ด่าน อยู่อย่างนั้น
นี่ ไม่ใช่เรื่องบูชาบุคคล หรือลุ่มหลงในลัทธิแฟนคลับ หรือบ้าอยู่กับปริมาณมวลชนจนมองไม่เห็นคุณภาพและความก้าวหน้าของมวลชนนั้น เอง มวลชนผู้พร้อมเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมไทยในระดับปฏิวัติ แต่ผู้นำกลับเห็นเขาเป็นแค่ตัวเลขที่มาเสริมแฟนตาซีของตัวเอง หรือมาเพิ่มอำนาจต่อรองในเกมขู่กรรโชกตื้นๆ ที่ล้มเหลวมาตลอดหลายปีแห่งการต่อสู้
นี่ คือเป็นความชื่นชมต่อจุดยืนของแนวร่วมรุ่นพ่อ-รุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เอาตัวเอง เป็นทั้งสาระและภาพแห่งการรณรงค์ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผ่านตัวแบบสังคมที่เรียกว่าประชาธิปไตย
เขียนอย่างนี้เพราะได้อ่านพินัยกรรมที่อาจารย์สุรชัยฯ เรียบเรียงและส่งออกมาจากคุก
ลอกมาไว้อีกครั้งเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน
“ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ ๖๙ ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ (ทำบายพาส ๗ ปี) ระบบขับถ่ายไม่ปกติ
ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้
๑. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
๒. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ
๓. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ
ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
๓๑ มีนาคม ๕๔ เวลา ๑๑.๑๕ น.
เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ”
ในเอกสารสั้นๆ ชิ้นนี้ อาจารย์สุรชัยฯ ได้วิเคราะห์สุขภาพตัวเองว่าไม่ปกติ อาจเกิดความฉุกเฉินขึ้นเมื่อใดก็ได้ การ “ฝากเรื่อง” ใน ประโยคต่อมา จึงสอดรับด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ความกระวนกระวายหรือห่วงใยในตนเอง แต่เป็นการทำงานต่อเนื่องของคนที่มอบชีวิตและจิตใจไว้กับการต่อสู้และมีความ ประสงค์จะให้ทุกมิติของตนเองเป็นประโยชน์ต่องานส่วนรวม
คำประกาศจะไม่ให้ “เผาศพ” จน กว่าคนไทยจะได้รับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ เป็นคำประกาศที่แสดงความหาญกล้าทางจริยธรรม คติไทยพุทธที่อาจารย์สุรชัยฯ เป็นศาสนิกย่อมยอมรับหลักการนำส่วนที่เหลือของจิตไปทำให้หมดไปเสีย เชื่อด้วยว่าการกระทำเช่นนั้นจะเป็นการช่วย “ตัด” ความ ยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตนของตนอย่างหนึ่ง แต่เมื่อประกาศชัดเจนในพินัยกรรม ก็มีความหมายว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตนเอง ก็ยังไม่ละทิ้งแนวทางไว้เป็นภาระของคนอื่น
หาก การหลุดละจากสังสารวัฏเป็นเป้าหมายอันสูงสุด คนที่ประกาศเช่นนี้ก็พูดอย่างกล้าหาญไว้ว่า ตนยังไม่ขอรับความสุขในระดับวิมุตินั้น จนกว่าคนในสังคมเดียวกันจะรอดพ้นจากทุกข์ด้วย
ความ แน่วแน่อย่างนี้มีในตัวคนชื่อ สุรชัย แซ่ด่าน มานานแล้ว จนมีผู้ศรัทธานับถือทั่วไป ยิ่งหากได้ปฏิบัติตามข้อ ๒ และ ๓ เมื่อเวลามาถึงด้วยแล้ว ก็จะยิ่งตอกย้ำความหนักแน่น มั่นคง และความมุ่งผลเปลี่ยนแปลงในสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ของสังคมให้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับคนรุ่นที่เดินตามมา
ใคร กำลังเล่นเกมการเมืองอย่างไรก็ตาม ใครใช้ความเห็นแก่ตัวเป็นธงนำชีวิตของตนเองจนเกิดความสับสนต่อมวลชนผู้ บริสุทธิ์ขนาดไหนก็ตาม หากพ่อแม่ของเขามีปัญญาสอนอะไรดีๆ มาบ้าง อ่านข้อเขียนสั้นๆ แบบนี้แล้วก็น่าจะได้ยั้งคิด
พินัยกรรม นี้บอกเราว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแล้วก็แล้วกัน โดยไม่มีแนวคิดอื่นใดรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอีกเลย
พินัยกรรม นี้บอกเราว่าการต่อสู้โดยคนๆ เดียวแต่ได้รับความศรัทธายอมรับจากคนทั้งหลาย ในที่สุดก็ก่อกระแสคลื่นความเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้
และพินัยกรรมนี้บอกเราว่า การต่อสู้รอบนี้คุ้มค่าต่อการเสียสละทุกอย่างในตนเอง.
------------------------------------------------------------------------------------
สนับสนุน "กาหลิบ" และทีมงาน สมัคร SMS-TPNews พิมพ์ PN กดส่งมาที่เบอร์4552146 สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน รายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย Call center : 084-4566794-5 (จ.- ศ.10.00-18.00น.)/e-mail : tpnews2009@gmail.com/บล็อก :http://wwwthaipeoplenews.blogspot.com/