วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธี แข็งกร้าว วิถี ประชาธิปัตย์ ใครเป็นโจร



วิธี แข็งกร้าว วิถี ประชาธิปัตย์ ใครเป็นโจร

ไม่ว่าจะเป็นภาพและสถานการณ์ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นภาพและสถานการณ์การชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา  เป็นเหมือนภาพด้านกลับเป็นภาพด้านกลับจากสถานการณ์การชุมนุมอันเคยเกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553

จะต่างก็เพียงแต่ ณ วันนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล

จะต่างก็เพียงแต่ ณ วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน และกำลังเสริมสานสถานภาพแห่งการเป็นแนวร่วมเดิมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ความรุนแรง แข็งกร้าว อันปรากฏผ่าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าใจได้

เข้าใจได้เหมือนกับการปราศรัยซึ่งไต่ระดับความรุนแรง เฉียบกร้าว เป็นทวิทวีคูณมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ไม่ว่าจะมาจากนักปฏิบัติธรรมอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

เช่นเดียวกับวาทกรรมเหี้ยมหาญอันออกมาจากปากช่างจำนรรจ์อย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และ นายเทพไท เสนพงศ์ ที่ว่า

"จะสู้กับโจรก็ต้องใช้วิธีโจร"



 

หากยึดตามบรรทัดฐานเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่การก่อตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2489 มาจากบุตรของเจ้าพระยาอย่าง นายควง อภัยวงศ์

ร่วมมือกับอดีตปลัดทูลฉลองอย่าง พระยาศรีวิศาลวาจา

ประสานกับมันสมองก้อนโตอย่าง หลวงประกอบนิติสาร ประสานกับมันสมองก้อนโตอย่าง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช 2 พี่น้องคนเก่ง

ถือว่า ณ วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์กำลัง "ถ่อมตัว" ครั้งสำคัญ

เป็นการถ่อมตัวจากพรรคอันสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ดี ตีนเล็ก นักเรียนนอก จากเคมบริดจ์ ออกซ์ฟอร์ด นำเอา "วิธีโจร" เพื่อสู้กับ "โจร"
แม้คนของพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ยอมรับในสถานะแห่งโจรอย่างเต็มพิกัด กระนั้น การใช้วิธีแห่งโจรก็เหยียบบาทก้าวใกล้กับโจรเป็นอย่างยิ่ง

เพียงแต่ใช้ "วิธีโจร" โดยไม่ยอมเป็น "โจร" ไปด้วย

น่าสงสัยว่าสุภาพบุรุษนักการเมืองระดับ นายชวน หลีกภัย สุภาพบุรุษนักการเมืองระดับ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สุภาพบุรุษนักการเมืองระดับ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี หรือแม้กระทั่ง นายสุทัศน์ เงินหมื่น จะยอมรับใน "วิธีโจร" ไปด้วยหรือไม่

ที่ไม่ควรมองข้ามคือ "วิธีคิด"




พฤติกรรมความรุนแรงของพรรคประชาธิปัตย์ในสภา


เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย นายมาร์ค อภิสิทธิ์ส่งทหารไปทำร้ายลูกความของผมในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 เห็นได้ชัดเจนมากว่าเขาทำไปเพื่อปกป้อง “หลักนิติธรรม” การที่ทหารสั่งการโดยนายมาร์คใช้พลซุ่มยิงสังหารประชาชนมือเปล่ากลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ซึ่งทำลายภาพลักษณ์ของนายมาร์คที่มักโฆษณาว่าตนเองเป็นคนเรียบร้อยมีระเบียบ

เรายืนยันเสมอว่าเจตจำนงค์ของนายมาร์คในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 คือการรักษาไว้ซึ่งการทำลายหลักนิติธรรมของเขาและยับยั้งไม่ให้ผู้ชุมนุมที่ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายเรียกร้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เขาได้มาจากกระบวนการทางสภาแต่ไม่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนหลังจากได้รับการสนุบสนุนจากกองทัพไทยและจากการเป็นพันธมิตรกับกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงเสื้อเหลืองหรือกลุ่มพันธธมิตรในปี 2551

หลังจากพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายขายขี้หน้าในการเลือกตั้งในปี 2553  โดยแพ้อย่างราบคาบให้กับผู้สมัครหน้าใหม่ที่ขาดประสบการณ์แต่มีความสามารถอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประชาชนไทยคงหวังว่าพวกเขาได้ส่งข้อความชัดเจนถึงนายมาร์คว่า “พวกเราไม่ต้องการให้คุณหรือพรรคของคุณเป็นรัฐบาล” ในประเทศที่มีประชาธิปไตย การได้รับประชามติจากการเลือกตั้งอย่างพรรคเพื่อไทยของยิ่งลักษณ์ได้รับมักจะทำให้เกิดเสถียรภาพในประเทศและทำให้พรรคที่แพ้เลือกตั้งกลับไปคิดว่าเหตุใดจึงแพ้เลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม คนที่จบจากวิทยาลัยอีตันและมหาลัยออกซ์ฟอร์ดอย่างนายมาร์คกลับเมินเฉยบทเรียนประชาธิปไตยที่ง่ายๆนี้

เมื่อสองวันที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่พรรคประชาปัตย์เมินเฉยต่อประชาธิปไตย กระบวนการรัฐสภาและเจตจำนงค์ประชาชนไทยอย่างสิ้นเชิง อีกครั้งที่พรรคได้จับมือร่วมกับกลุ่มพันธมิตร ซึ่งเป็นกลุ่มเผด็จการฟาสซิสต์ใหม่ขนาดเล็กและนิยมความรุนแรง กลุ่มที่เหมือนอยากจะก่อความรุนแรงต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

ในวันที่ 30  พฤษภาคม) กลุ่มคนบ้าคลั่งอย่างกลุ่มพันธมิตรทซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ ราว 2,000-3,000 คนชุมนุมหน้ารัฐสภาและในเหตุการณ์ความวุ่นวาย สส.พรรคประชาธิปัตย์ทำความเคารพแบบพรรคนาซีและเข้าล้อมประธานสภานายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ มีการฉุดกระชากและพยายามข่มขู่ประธานสภา สส.ประชาธิปัตย์สติแตกคนหนึ่ง  รังสิมา รอดรัสมีได้พยายามเอาเก้าอี้ประธานสภาไปซ่อนด้วยความโกรธ หลังจากนั้นรังสิมาได้โทรเข้าไปในรายการทีวีและเรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตร “บุกเข้าไปในสภา” ในขณะที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายมาร์ค อภิสิทธิ์และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและปัจจุบันดำรงตำแหน่งสส.นายกรณ์ จาติกวณิชได้ให้การสนับสนุนอยู่ข้างๆ โดยพูดจาส่งเสริมกลุ่มเผด็จการฟาสซิสต์ใหม่พันธิมิตรและการกระทำข่มขู่ของสส.พรรคประชาธิปัตย์ในสภา

ในวันที่ 31 พฤษภาคม มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นอีก สส.พรรคประชาธิปัตย์วิ่งวุ่นอย่างบ้าคลังในสภาอีกครั้ง สส.ของพรรคข้าวงปาเอกสารและทำร้ายสส.พรรครัฐบาล ในเหตุการณ์ที่รุนแรงและน่าตกใจ สส.พรรรคประชาธิปัตย์ นายธานี เทือกสุบรรณ (น้องชายอดีตรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ) คว้าสส.พรรคเพื่อไทยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ที่คอ ซึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายที่รุนแรง อีกครั้งที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายมาร์ค นายกรณ์ จาติกวณิช และนายศิริโชค โสภาสนับสนุนส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและรุนแรง และกล่าวหาคนอื่นอย่างผิดๆและไม่มีข้อมูลซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำได้ดี

ในขณะที่สส.พรรคประชาธิปัตย์กระทำพฤติกรรมข่มขวัญผู้อื่นในสภา พันธมิตรของพวกเขาในกลุ่มพันธมิตรชุมนุมอยู่นอกสภาและขู่ว่าจะบุกเข้าไปในสภา ครั้งนี้กลุ่มพันธมิตรตัดสินใจจะไม่ทำ แต่ได้ประกาศว่าจะกลับมาในวันที่ 1 มิถุนายน ตอนหกโมงเช้าเพื่อเข้าร่วมสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การต่อสู้ครั้สุดท้าย”

กิจกรรมของกลุ่มพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปเพื่อยับยั้งการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาในเรื่องของพรบ.ปรองดองอย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถมองว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ต้องการแสดงความเห็นต่อเรื่องดังกล่าว พรรคความเข้าร่วมการอภิปรายที่สมเหตุสมผลและสันติ ซึ่งจะเป็นแนวทางที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า  แน่นอนหากพรรคประชาธิปัตเชื่อในประชาธิปไตย พรรคคงคิดได้ว่าพวกเขาไม่มีประชามติที่จะยับยั้งกระบวนการนิติบัญญัติของพรบ.นี้หรือพรบ.ใดก็ตาม หน้าที่ “ฝ่านค้าน” อย่างเป็นทางการ หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์มีหน้าที่ต้อง “คัดค้าน” รัฐบาลด้วยการใช้วิธีการที่เป็นประชาธิปไตยและกระบวนการรัฐสภา อย่างไรก็ตามการใช้ความรุนแรง การข่มขู่และข่มขวัญ ในขณะเดียวกันก็จับมือกับกลุ่มพันธมิตรไม่ใช่นโยบายและเป็นพฤติกรรมที่ดีพอที่จะชนะการเลือกตั้งได้

ดังนั้น เมื่อพิจารณาทุกอย่างจะเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกเพราะการบริหารภายใต้ “หลักนิติธรรม” คือมาตราฐานของ “ภาพลักษณ์” นายอภิสิทธิ์ และคือเรื่องที่เขาย้ำอยู่เสมอ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2552 หลังจากที่เขาส่งทหารกว่าหมื่นนายไปบดขยี้คลื่นลูกแรกของการชุมนุมคนเสื้อแดง นายมาร์คบอกเวปไซต์การลงทุนระหว่างประเทศของนายโทมัส ไวท์ว่า

“ผมสามารถรับรองว่ารัฐบาลของผมจะเดินตามแนวทางของหลักการตามประชาธิปไตย รัฐบาลที่ดี ความโปร่งใสและความเคารพความยุติธรรมและหลักนิติธรรม”

ไม่กี่เดือนก่อนที่นายมาร์คจะพูดแบบนี้ หนึ่งในสมาชิกรัฐบาลของเขา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกษิต ภิรมย์ได้เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรซึ่งปิดสนามบินสุวรรณภูมิเป็นการส่วนตัว หนังสือพิมพ์เดลี่เทเลการ์ฟของอังกฤษกล่าวว่า

“นายกษิตเล่าให้นักการทูตและนักข่าวต่างชาติซึ่งต้องตกใจหลังจากฟังเรื่องดังกล่าวในวันศุกร์ว่า การชุมนุม “สนุกมาก” “อาหารดี ดนตรีไพเราะ” เขาอธิบาย

แม้นายมาร์คจะมีความเชื่อย่างมากต่อ “หลักนิติธรรม” สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เขาไม่เชื่อในการปรับใช้หลักการเหล่านั้นกับตนเอง พวกพ้องหรือพรรคการเมืองของเขา

และยังดูเหมือนว่านายมาร์ค อภิสิทธิ์และพรรคไม่สามารถทำใจได้ว่าประชาชนไทยไม่ต้องการพวกเขา ซึ่งเห็นได้จากผลการเลือกตั้งในปี 2553  และนั้นทำให้เริ่มเห็นอย่างช้าๆว่า แนวความคิดแบบเจ้าขุนมูลนายของพวกเขากำลังจะกลายเป็นความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์

และที่น่าเศร้าคือ นายมาร์ค อภิสิทธิ์และกลุ่มพันธมิตรหัวรุนแรง กลุ่มเผด็จการฟาสซิสต์ใหม่และกลุ่มต่อต้านประชาธิปไตยอื่นรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตรอกมากขึ้นทุกวันและมากยิ่งกล่าวพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องการ เราหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นและสถานการณ์ในปัจจุบันจะคลี่คลายและเข้าใจว่าคนที่เป็นอภิสิทธิ์ชน เกิดในประเทศอังกฤษ จบการศึกษาจากวิทยาลัยอีตันจะต้องเคารพกฎเกณฑ์เช่นกัน