วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง










ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
ขณะที่ความสับสนเกิดขึ้นกับชีวิตน้อยๆของพวกเขาที่รู้ตัวดีว่าเป็นส่วนเกินของสังคมใ​นประเทศญี่ปุ่น หญิงไทยคนหนึ่งได้เล่าเรื่องราวของเธอให้ผมฟัง..ว่า


คืน..วันนั้นเธอได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนคนไทยด้วยกัน แต่อยู่คนละเมืองในแถวที่มีแผ่นดินไหวอย่างหนัก (เธอบอกชื่อเมืองแห่งนั้นมาให้ผมทราบแต่ผมเองมันเป็นคนความจำสั้นจึงจำไม่ได้ว่าเมือ​งที่เธอบอกอยู่นั้นเป็นเมืองอะไร) น้ำเสียงที่เธอได้ยินนั้นมีทั้งสะอื้นร่ำไห้ตื่นตระหนก คล้ายกับว่าควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ เธอพูดซ้ำๆซากๆอยู่แบบนั้น “ตัวเองพาเขากลับบ้านด้วยนะ เขาคิดถึงบ้าน” ตัวเธอผู้ที่เล่าให้ผมฟังนั้น เธออาศัยอยู่กรุงโตเกียวได้รับผลกระทบน้อยมาก แต่เหตุแห่งแผ่นดินไหวก็ทำให้ตัวเธอเองหวั่นไหวมิใช่น้อยเหมือนกัน ขณะที่เธอกำลังเล่นอินเตอร์เน็ตเพื่อฟังข่าวคราวจากเมืองไทย เธอต้องทิ้งทุกอย่าง แล้ววิ่งลงมาข้างล่างกลางถนนเช่นเดียวกัน สิ่งที่เธอฉวยเอามาได้ก็แค่กระเป๋าใส่สตางค์ที่มีอยู่ไม่มากนักเท่านั้น เธอยืนกอดอยู่กับหญิงชราชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่วิ่งหนีออกมาจากบ้านเช่นเดียวกัน

เธอตั้งสติได้เธอก็รีบโทรศัพท์กลับบ้านเล่าเหตุการณ์ให้แม่ที่เมืองไทยได้รับทราบเป็​นอันดับแรก จากนั้นสายโทรศัพท์ของเธอก็วุ่นวายด้วยการรับโทรจากเพื่อนๆคนไทยด้วยกันเองอีกหลายคน​ ต่างคนต่างปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจกัน เล่าเรื่องราวแต่ละแห่งให้กันและกันฟัง

ผมเองเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับฟังการถ่ายทอดเรื่องราวจากเธอในวันแรกที่เกิดเหตุเช่นเดี​ยวกัน แต่ในขณะนั้นผมไม่พร้อมที่จะมานั่งเขียนการบรรยายจากปากของเธอลงในเว็บให้ผู้คนได้อ่​าน เหตุเพราะตัวของผมเองและข้อมูลที่เธอบอกกล่าวมามันยังสับสนกับข่าวทีวีเมืองไทยเป็นอ​ย่างมาก ผมเพียงแต่ได้รับฟังและปลอบใจเธอไปได้แค่นั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจที่ผมจะทำได้ในช่วงนั้นจริงๆ ในคำพูดที่สนทนากันนั้น มีคำอยู่คำหนึ่งที่เธอพูดใน ณ.ขณะนั้น “เธอไม่มีสีอะไรอีกแล้ววันนี้เธอคือคนไทย เธอรักประเทศไทย” ถ้าเธออยู่เมืองไทยอย่างสุขสบายเธอคงไม่ดิ้นรนมาหางานทำถึงประเทศญี่ปุ่นแบบนี้หรอก เธอลำบากเหลือเกินณ.ขณะนี้แต่บรรยายไม่ถูก

ผมก็ได้แต่ฟังและพยายามจินตนาการถึงภาพที่เธอบรรยายออกมา นึกถึงคนที่บ้านไฟไหม้ คนที่บ้านน้ำท่วมเขาตกอยู่ในสภาพเช่นไรในเวลานั้น เธอเองก็คงไม่ต่าง ที่ต่างกันนิดเดียวก็คือ เธอไม่ได้อยู่ในผืนแผ่นดินตัวเองเท่านั้น จะหาคนที่เอาอกให้เธอซบแล้วร่ำไห้ก็หาไม่ได้ จะหาคนที่หวังดีเรียกเธอไปทานข้าวด้วยกันก็ไม่มี หรือแม้แต่ในค่ำคืนวันนั้นจะมีใครซักคนให้ที่พำนักเธอในคืนอันหนาวเหน็บและว้าเหว่ก็​ไม่มีทั้งนั้น เธอต้องเข้มแข็งด้วยตัวของเธอคนเดียวเพียงลำพัง ในส่วนเกินของพลเมืองของเขา ในค่ำคืนอันหฤโหดนั้น มันแสนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจเธออย่างแสนสาหัสยิ่ง
ในคำพูดตอนหนึ่งที่เธอพยายามบอกผมว่า”เราอย่ามองการช่วยเหลือของรัฐบาลไทยหรือสถานทูตไทยในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องการเมื​องกันไปหมด” ครั้งนี้ขอสักครั้งได้ไหม ให้เรามองว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน ความช่วยเหลือจากไหนก็ไม่สำคัญ แต่ถ้าเป็นของคนไทยที่หยิบยื่นมาให้แล้วนำมาถึง เธอจะรู้สึกอบอุ่นและดีใจมาก และบอกกับผมด้วยว่า “ถ้ารู้ไม่จริงอย่าเอาเรื่องนี้ไปโยงกับการเมือง อย่าตั้งกระทู้เป็นประเด็นในเรื่องนี้เป็นอันขาด”

ทั้งหมดนั่นคือความประสงค์จากเธอที่สื่อมาถึงผม ในช่วงวันแรกที่เธอได้รับชะตากรรมที่ประเทศญี่ปุ่น ผมเองได้แต่ฟังและเคารพในความคิดเห็นของเธอ ผมไม่เคยนำเรื่องนี้มาเขียนในที่แห่งไหนเลยในตอนนั้น

เมื่อวานผมได้รับโทรศัพท์จากเธอผู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง เธอกล่าวกับผมในสิ่งแรกที่เธอโทรมา “ได้อ่านทวิสเตอร์ของนักข่าวช่องสามหรือไม่ เนื้อหาในนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ประเทศไทยเลวแบบที่นักข่าวผู้นั้นรายงานมาจริงๆ” ผมขออนุญาตเธอขออ่านก่อนแล้วค่อยโทรมาอีกครั้ง แล้วผมก็เปิดเข้าไปอ่าน อย่างแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือคนไทยที่ทำกับคนไทยในต่างแดนได้ถึงเพียงนี้ หลังจากที่ผมได้อ่านจบแล้ว ผมก็ติดต่อเธอกลับไปใหม่ อยากฟังเรื่องราวจริงๆจากปากเธอบ้างอะไรคืออะไร

คำพูดเธอเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยกล่าวกับผมว่า “เธอไม่มีสีอะไรอีกแล้ววันนี้เธอคือคนไทย เธอรักประเทศไทย” เธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอใช้คำพูดที่คล้ายแบบนี้ “ประเทศคุณมันทุเรศจริงๆ มันไม่มีสำนึกของความเป็นคนอยู่ในผู้บริหารของประเทศอยู่เลย คนกำลังจะตาย เดือนร้อน ยังสามารถมาหากินกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว ลำบากยากเข็นได้” (สังเกตคำว่า ประเทศคุณ ที่เธอใช้มันบ่งบอกว่า เธอแค้นถึงขนาดไม่เรียกว่าประเทศเราอีกแล้วประเทศไทยไม่ใช่ประเทศของเธออีกต่อไปแล้ว​)

เรื่องที่เธอเล่าก็เรื่องการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่เอาเครื่องบินซี130ที่เป็นเครื่อง​บินของรัฐโดยแท้ไปรับแล้วคิดราคามากกว่าเครื่องบินโดยสารปกติถึงสองเท่า เรื่องการเดินทางจากเมืองหนึ่งมาอีกเมืองหนึ่งเพื่อมาขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย ยังโหดร้ายพอที่จะหากำไรจากการย้ายคน ใครไม่มีเงินแทบจะไม่ได้ไปหรือถ้าไปก็ต้องรับประกันว่าจะนำเงินส่วนนี้มาชำระให้ในภา​ยหลัง สิ่งของช่วยเหลือไม่มีใครได้รับจากประเทศไทยเลย มีแต่ออกข่าวเอาหน้ากันแค่นั้นว่าแจกของกันที่นั่นที่นี่ถ่ายภาพออกข่าวกันแค่นั้น ทั้งที่สิ่งของเหล่านั้นคือเงินบริจาคจากประชาชนคนไทยในประเทศไทยแท้ๆ ไม่ใช่เงินงบประมาณที่เป็นภาษีซักหน่อย

รู้ไหมคนพวกนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? นี่คือคำถามที่เธอกำลังจะบอก
บางคนทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่สามารถนำติดตัวมาด้วยได้เลย ที่อยู่อาศัยพังพินาศไปกับตา ตนเองกระเสือกกระสนหาที่ปลอดภัยพักพิง หาน้ำดื่มเพื่อประทังชีวิต หาอาหารเพื่อยังชีพ เศษเงินที่พอมีติดตัวมาก็น้อยนิดเท่าที่ในกระเป๋าตนเองจะมีติดตัวไว้
ธนาคารก็ปิดกิจการไม่สามารถเบิกเงินได้ จะหาเงินมาจับจ่ายก็ไม่มี หรือถ้ามีก็ต้องแบ่งปันกันซื้อ มันสาหัสสากันเหลือเกินกับชีวิตที่ตกระกำที่นั่นในตอนนั้น แล้วมาเจอกับน้ำใจคนไทยที่ออกทีวีเผยแพร่ไปในญี่ปุ่นจะช่วยเหลือเงิน200ล้านบาท จะเอาเครื่องบินมารับคนไทยกลับบ้าน ชีวิตเหมือนได้เกิดใหม่รอความหวังที่คนไทยด้วยกันจะมาช่วย

เสียงเหมือนกำลังเช็ดขี้มูกจากปากผู้ที่เล่าให้ผมฟัง “สถานทูตไทยมันเฮี้ยสุดๆ”แล้วน้ำเสียงนั้นก็ขาดหายไปสักพัก มีเสียงคล้ายคนเป็นหวัดพูดต่อ “มันมองคนไทยเหมือนไม่ใช่คน พวกเราถามมันมันเบือนหน้าหนีไม่ให้คำตอบคล้ายกับว่าเราจะไปขอส่วนบุญของมันอย่างนั้น​”
ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คนไทยอยู่ในสถานทูตมันไม่เอาใจใส่พวกเรากันเลย มันเหยียบทับถมเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้มันจะมาทำไม หรือมารอให้พวกเราตายแล้วมันจะได้ทำประวัติให้
ความช่วยเหลืออย่าว่ามีเลย เอาว่าแค่ให้ความสะดวกบ้างมันยังไม่ยื่นให้ กว่าจะทำเอกสารให้มันทำอย่างกับว่าพวกเราเป็นพวกโรคติดต่อไม่อยากรับกลับเมืองไทยแบบ​นั้น ทำกันขอไปทีให้หมดเวลาแล้วก็กลับบ้านไปนอน

เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเองซะอีกที่ยังเห็นคนไทยเป็นคนอยู่ ยังช่วยเหลือดีกว่าสถานทูตไทยซะอีก ทั้งที่เขาเป็นคนละชาติกับเราแท้ๆ
“ส่วนความดีขอคนไทยก็มีสำหรับพวกคณะอื่นๆที่ติดตามมาสนอกสนใจฟังคำถาม พยายามหาทางออกให้” อันนี้ผู้ที่เล่าเน้นหนักหนาต้องบอกกล่าวให้ผู้คนในเมืองไทยได้รับรู้ด้วย

ผมฟังจบน้ำตาของผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมพยายามไม่โยงเรื่องการเมือง ผมพยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผมพยายามมองว่ารัฐบาลไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆเพียงแต่ผู้ปฏิบัติมันทำงานเกินหน้​าที่แค่นั้น
แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว คำถามแรก.ที่ตั้งขึ้น...เรื่องนี้ใครเลวที่สุด

คำตอบ...สถานทูตไทยในญี่ปุ่น

แล้วตั้งคำถามต่อ..สถานทูตไทยในญี่ปุ่นได้รับนโยบายจากใคร

คำตอบ..แน่นอนว่าต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศ

ทีนี้คิดต่อไป..กระทรวงการต่างประเทศใครเป็นเจ้ากระทรวง

คำตอบ..ก็แน่นอนว่าคนในโควต้าของพรรคประชาธิปัตย์ที่เอาเศษมนุษย์ที่ชื่อ “กษิต” มานั่งเป็นเจ้ากระทรวงนี้ และ ไอ้มนุษย์ตนนี้ใช่หรือไม่ที่มีวิสัยทัศน์ต่ำแบบสุดๆ เราๆท่านๆคงไม่ต้องบรรยายว่าไอ้มนุษย์ตนนี้มันระยำแค่ไหน

ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโทษใครไม่ได้เลยนอกจาก รัฐมนตรี “ไอ้กษิต” และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “อภิสิทธิ์”เท่านั้นที่รู้เห็นเป็นใจกันและสั่งการไปยังสถานทูต แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

คำถามที่ยังคาใจ..เครื่องบินซี130เป็นของใคร
คำตอบ..เป็นของทหารอากาศที่เอาไว้บริการกองทัพและประชาชน ค่านักบิน ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุงเอาเงินมาจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น

คำถามต่อมา..แล้วทำไมต้องเก็บเงินค่าโดยสารจากประชาชนด้วยไหนบอกว่ากองทัพของประชาชน
คำตอบ..มันเป็นนโยบายแน่นอนเรื่องแบบนี้ถ้าไม่มีคำสั่งไม่มีใครกล้าทำ กองทัพไม่ใช่รัฐวิสาหกิจเพื่อหวังผลกำไร ดังนั้นการกระทำครั้งนี้แน่นอนว่าเป็นนโยบาย

คำถาม..นโยบายนี้ใครเป็นผู้ออกคำสั่ง
คำตอบ..ใครก็ไม่รู้ได้ แต่ที่แน่ๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องรับผิดชอบแน่นอนและคนที่เป็นรองนายกฝ่ายความมั่นคงต​้องรับทราบเรื่องนี้ด้วย เพราะมันทั้งหมด ร่วมกันรู้เห็นเป็นใจที่จะเอาประโยชน์จากการทุกข์ยากของประชาชนในครั้งนี้ เลยปล่อยเรื่องแบบนี้ออกมา แดกเข้ากระเป๋าพวกมันสองต่อ ทั้งเบิกเงินหลวงเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานและตบทรัพย์ปล้นกลางแดดประชาชนอีกต่อหนึ่ง​

ทั้งหมด มันเป็นความระยำที่เกิดขึ้นกับคนไทยในต่างแดนทั้งสิ้น เกิดขึ้นเพราะไม่ใช่เรื่องอื่นเลย ไม่ใช่เรื่องการเมืองด้วย แต่เป็นความละโมบโสมมของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ทั้งนั้น มันเกิดแล้วเกิดอีกซ้ำซากอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ ขนาดคนกำลังใกล้ตายขอความช่วยเหลือมันยังขูดรีดเขาได้ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจิตใจไอ้คนจำพวกนี้มันทำด้วยอะไร มันใช่คนหรือเปล่า

ว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกับการเมืองแล้วกระทู้นี้แต่ก็อดไม่ได้
ถ้ารัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกจริงๆมันจะทำเช่นนี้ไหม?
ถ้าประเทศชาติ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริงจะเป็นเช่นนี้ไหม?
หรือถ้าประเทศนี้ ไม่มีอัปรีย์สิ่งสถิตอยู่ประชาชนจะสุขสบายกว่านี้ไหม?









หมายเหตุ..ข้อเขียนชิ้นนี้ทั้งหมดมอบให้กับคนไทยในญี่ปุ่นทุกท่านและผู้ที่ให้ข้อมูลที่ไม่ประส​งค์จะออกนามในห้องฟรีไทยแลนด์ด้วยครับ
http://www.freethailand.net/




--------------------------------------------------------------------------------
จากเว็บไซต์ http://www.internetfreedom.us/thread-19054.html
--------------------------------------------------------------------------------
RE: ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
...น่าแปลกใจ ที่ความกล้าที่จะแสดงออก.....ของข้าราชการ เหล่านี้...มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามค่านิยมของเผด็จการเจ้าของระบอบ จนกลายเป้นวัฒนธรรม ที่สืบทอดกันมาให้เห็นกันจริงๆ ..การมองคุณค่าของชีวิตคนไทยนั้นมันไร้ค่า มันไม่มีความหมาย จะทำอะไรเราก็ได้ที่พวกมันต้องการ และต้องการแสดงออกถึงอำนาจ อิทธิพล บารมี และการสร้างภาพให้อยู่เหนือพวกเราประชาชนทั่วไป..เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ .เหตุการณ์นี้ ผู้ตกเป็นเหยื่อของความละโมภนั้น ยัังไม่ตาย แต่มีสิทธิถึงตายได้ตามเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น..จึงเป็นโอกาสอันโสมมของเหล่าข้าราขการขั่วเหล่านี้ที่ต้องการปล้นทรัพย์บนความทุกข์ย​ากและความตาย และมิได้ใยดีต่อภาระหน้าที่ใดๆในการรับใช้ประชาชนตามคำโฆษณาชวนเชื่อตามระบอบการปกคร​อง(ประชาธิปไตยจอมปลอม) เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อ ค่านิยมที่พวกเขาเชื่อถือและปฏิบัติอยู่เสมอมา อีกทั้งประสพการณ์ที่เกิดขึ้นและมีอยู่จริง มันเป็นตัวตอกย้ำความเชื่อ ที่่ว่าแม้แต่การฆ่าทิ้ง ยังสามารถทำได้มาแล้วหลายรอบและได้เกิดขึ้นจริง ...ไม่ว่าจะเป็น 14 ตค 2516, 6 ตค 2519, 17 พค 2535, 25 ตค 2547(ตากใบ), 13 เมย 2552, 10 เมย-19 พค 2553 แต่ทั้งหมดนี้ ผลที่ปรากฏก็คือ ไม่เคยมีผู้รับผิดต่อการตายของประชาชนคนเหล่านั้นที่ได้ตายไปเพราะการกระทำของฝ่ายเผ​ด็จการเจ้าของระบอบ เรื่องแบบนี้สามารถจะเกิดขึ้นได้เสมอ... สำหรับ การค้าความตาย อันเป็นค่านิยมของเผด็จการเจ้าของระบอบ
....นปช. แดงทั้งแผ่นดิน จะศรัทธาและเชื่อถือในค่านิยมแบบไหน ...โปรดเลือกเอา...
--------------------------------------------------------------------------------

RE: ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
อ่านแล้วเศร้าใจค่ะ ไอ้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราไม่เคยเห็นหัวคนไทย ทำเพื่อให้ได้หน้าได้ตา
มีภาพออกทีวี แค่นี้เองเหรอ เงิน 200 ล้านที่ไปช่วยญี่ปุ่นหมายความว่าคนไทยในญี่ปุ่นไม่มีสิทธิ์ใช้
เงินส่วนนี้เลยเหรอ มันไม่เฮงซวยไปหน่อยเหรอ หวังว่าบทความนี้ไอ้ผู้ใหญ่ที่ว่าคงเข้ามาอ่านกันน่ะ
จะได้รู้ว่านี่คือ "ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้"

--------------------------------------------------------------------------------
RE: ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
ผมอ่านแล้วเศร้าครับ น้ำตาผมมันเอ่อล้นออกมาได้ยังไงไม่รู้
หวนนึกถึงภาพที่เคยเห็นทางทีวี เครื่องบินไทยลงจอด
มีทหารไทยขับรถมอไซพร้อมอาวุธออกมาจากเครื่องบิน
ภาพคนไทยจำนวนมากกำลังเดินไปขึ้นเครื่องบินลำนั้น
ทหารไทยบนรถมอไซรายล้อม เพื่อพิทักปกป้องคนไทยให้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ใครเคยเห็นภาพนี้เหมือนที่ผมเคยเห็นบ้างใหมครับ
--------------------------------------------------------------------------------