วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ใครฆ่าอากง (๓)






(๑)

คำกล่าวเต็มๆ ของนาย สมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขาส่วนตัวของอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็คือ “อย่าปล่อยให้ความกลัว..ความสงสาร..ความเห็นอกเห็นใจ เข้าครอบงำความถูกต้อง”

ผมไม่แน่ใจว่าความถูกต้องที่นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ได้กล่าวถึงในกรณีการแจ้งความจับ อากง (นายอำพล ตั้งนพกุล) คือสิ่งใด..เพราะไม่เคยมีใครได้รู้ในทางสาธารณะอย่างแท้จริงว่า “ข้อความใน sms ที่ว่าเป็นข้อความหมิ่นฯ นั้นคืออะไร” หมิ่นฯ จริง หรือไม่จริง ก็ไม่มีใครรู้ และที่ศาลได้ตัดสินก็ไม่ได้พิจารณาในประเด็นข้อความที่ว่า “ข้อความดังกล่าวหมิ่นฯ หรือไม่” แต่เป็นการพิจารณาว่า “อากง เป็นผู้ส่งข้อความ sms จริงหรือไม่” เท่านั้น ซึ่งผมคงจะก้าวข้ามประเด็นที่ว่า sms นั้นเป็นการส่งข้อความหมิ่นฯ หรือไม่ไปเสีย เพื่อพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

อากง (นายอำพล ตั้งนพกุล) และนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ต่างก็ตกเป็น “เหยื่อ” ของความเลวร้ายของการปกครองที่มีอยู่ในประเทศไทยนี้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย อากง เป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำจากกฏหมายอาญามาตรา 112 จนถึงแก่ชีวิตในที่คุมขังทั้งๆ ที่เป็นผู้สูงวัย และไม่เคยมีบทบาทเด่นชัดในการกระทำความผิดในลักษณะนี้มาก่อน ส่วนนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข ก็เป็นเหยื่อที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจกฏหมายอาญามาตรา 112 เช่นกัน เพราะในยุคที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เรืองอำนาจได้มีการแจ้งความจับกุมโดยใช้กฏหมายอาญามาตรา 112 อย่างกว้างขวาง โดยใครก็ได้เพื่อเป็นการแสดงว่ามีความจงรักภักดีสูงกว่าผู้ใดในแผ่นดิน

ฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อที่เป็นผู้ถูกกระทำ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อที่เป็นผู้ถูกใช้ให้กระทำ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการถูกจับด้วยกฏหมายอาญามาตรา 112 ของ อากง มิใช่เรื่องที่รับรู้ในในระดับประเทศเท่านั้น แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในระดับนานาชาติด้วย ดังนั้นการเสียชีวิตของ อากง ในขณะที่กำลังถูกดำเนินคดีที่ยังมีความ “คลุมเครือ” และ ภาพของ อากง ที่เป็นเพียงคนชรา ที่มีโรคประจำตัวรุมเร้าต้องจากครอบครัวไปจนกระทั่งเสียชีวิตในเรือนจำ จึงเป็นประเด็นที่กระทบกับความรู้สึกของคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย และต้องการหลุดพ้นจากอำนาจเผด็จการเป็นอย่างมาก
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยเวลานี้เกิดความแตกแยกกันมากชนิดที่ยากจะกลับมารวมกันจนสมัครสมานสามัคคีกันได้ดังเดิมอีกต่อไปแล้ว ณ ขณะนี้ไม่มีใครในแผ่นดินนี้ที่จะเป็น “คนกลาง” ที่จะสามารถรวบรวมความสามัคคีของคนในแผ่นดินนี้ให้กลับมารวมกันได้อีกต่อไป
ปูนนก

 
 

 

(๒)

ผมเชื่อว่า “การเสียชีวิตของ

ผมเชื่อว่า “การเสียชีวิตของ อากง” ในครั้งนี้จะเป็นตัวเร่งปฏิกริยาที่จะเน้นย้ำถึงการที่ พรรคเพื่อไทย จำเป็นจะต้อง “ตัดสินใจ” ทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ “สถานการณ์ทางการเมือง” ที่กำลังอึมครึม ไม่แน่ชัดว่า “อำนาจในการบริหารประเทศที่แท้จริง” นั้นอยู่กับผู้ใดกันแน่

เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าขณะนี้ พรรคเพื่อไทย กำลังนำพาพลังแห่งความศรัทธาของมวลชนคนเสื้อแดงทั้งหมดเดินอยู่บน “คมใบมีด” ที่อาจจะพลาดพลั้งลงมาเมื่อไรก็ได้ การที่ผู้บริหารพรรคเพื่อไทย “เล่น” อยู่กับความศรัทธาของมวลชนคนเสื้อแดง โดยอาศัยผลงานที่เคยศรัทธา และเข้าตาในอดีต มาเป็นต้นทุน และอาศัยทุนนั้นมาเป็นความเชื่อว่าอย่างไรเสียคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยก็คงจะต้องให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเสมอไปนั้น บางทีการมองสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเช่นนี้ โดยไม่ได้พิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า “ความต้องการที่แท้จริงของคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยว่าคืออะไร” จะทำให้พรรคเพื่อไทยกำหนดนโยบายผิดพลาดได้

คดีการล้อมฆ่า 91 ศพ คนเสื้อแดงมากมายที่ถูกคุมขังโดยไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการประกันตัว และล่าสุดการเสียชีวิตในที่คุมขังของ อากง เหล่านี้มิได้รับการแก้ไขหรือเร่งรัดใดๆ ให้เห็นว่ามีกระบวนการในการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม.. แต่ในขณะซึ่งมีภาพที่พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยกำลังมองเห็นอยู่ต่อหน้า และไม่มีทีท่าจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นได้ก็คือ “การสมยอมกันระหว่างอำนาจเผด็จการส่วนบน กับผู้บริหารสูงสุดของพรรคเพื่อไทย” โดยอาศัยพลังของคนเสื้อแดงเป็นฐานอำนาจต่อรอง หรือเป็นสะพานเชื่อมให้ถึงฝั่ง การประสานมือนอบน้อมต่อผู้บงการล้มอำนาจของประชาชน.. การยอมรับที่จะไม่ดำเนินคดีกับผู้ที่สังหารประชาชน การละเลยต่อการแสดงออกถึงความต้องการของประชาชนที่ต้องการให้มีอำนาจทางการเมืองมาจากประชาชนโดยเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าๆ นี้เสียใหม่ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ปรากฏในเชิงประจักษ์ต่อหน้าทั้งสิ้น

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า พรรคเพื่อไทย ที่คนเสื้อแดงพยายามอย่างที่สุดที่ช่วยกันผลักดันให้นำเอา “อำนาจของประชาชน” มาใช้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในทางการเมืองเพื่อประชาชนนั้น กำลัง “ล้มเหลวใช่หรือไม่?”

การต่อสู้กับอำนาจเผด็จการที่ “ยิ่งใหญ่คับฟ้า” ในสมัยของ เหมา เจ๋อ ตง กับ โฮ จิ มินท์ หรือที่อื่นๆ นั้นต่างก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนหรือ คล้ายกันก็คือ “ความชัดเจนในการนำ” ว่าจะสู้กับใคร หรือสู้กับอะไร
ปูนนก

 

(๓)

ทำไมล่ะครับ..

ทำไมล่ะครับ.. ในเมื่อประเทศเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ผู้ที่ถืออำนาจที่จะสามารถผ่าตัดประเทศครั้งใหญ่ได้กลับไม่พยายามที่จะทำให้มะเร็งที่คุกคาม และกันกินประเทศนั้นให้หมดสิ้นไปเสีย แม้ว่าประเทศจะต้องผ่านความเจ็บปวดและทุกข์ระทมจากการผ่าตัดในครั้งนี้ แต่เมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้นลงความเจ็บปวดก็จะทุเลา และก็จะผ่านกระบวนการเยียวยาประเทศกันต่อไป แต่ทว่าผู้ที่ถืออำนาจของประชาชนเอาไว้กลับไม่ทำตามความต้องการที่แท้จริงของประชาชนที่มอบให้แก่เขา


ผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 91 คนจากการล้อมปราบที่ราชประสงค์นั้น พวกเขาไม่ได้มาร่วมชุมนุมเรียกร้องเพื่อให้รัฐบาลทำให้ราคาสินค้าถูกลง.. พวกเขาไม่ได้มาเรียกร้องให้มีแรงเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท.. พวกเขาไม่ได้มาเรียกร้องให้นายกยิ่งลักษณ์ เดินทางไปรดน้ำดำหัวกับ พล.อ. เปรม..เพื่อการปรองดอง แต่พวกเขามาร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องสิทธิความเป็นคนไทยที่พวกเผด็จการแย่งอำนาจของเขาไป และพวกเขาก็ได้รับกระสุนปืนเป็นรางวัล

อากง อายุ 61 ปี เสียชีวิตคาเรือนจำด้วยโทษจำคุก 20 ปี เพราะ กฏหมายอาญามาตรา 112 อากงมีครอบครัว... อากงมีญาติพี่น้อง.. อากงมีเพื่อน..อากงมีคนเห็นใจ.. อากงมีผู้ที่เอาใจช่วย เขาเหล่านั้นกำลังตั้งคำถามกับพรรคเพื่อไทยว่า “ท่านกำลังจะทำอะไรต่อไปกับอำนาจเผด็จการที่กำลังเข่นฆ่าประชาชนที่มอบอำนาจให้ท่านนี้”

ถ้าพรรคเพื่อไทย บอกกับประชาชนให้ได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมาว่า “พรรคเพื่อไทยไม่สามารถจะปฏิบัติในสิ่งที่พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยต้องการได้” ก็ขอให้บอกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อที่คนเสื้อแดงด้วยกันเองจะได้ค้นหาแนวทางอื่น ที่ไม่ใช่แนวทางที่จะต้องฝากความหวังไว้กับพรรคเพื่อไทย
ผมน้ำตาซึม..ขอบตาร้อนผ่าว..ดวงตาแดงช้ำ..จิตใจทุกข์ระทมเจ็บปวด...เมื่อได้ทราบข่าวว่า อากง เสียชีวิตขณะที่ยังอยู่ในเรือนจำ ผมไม่เคยรู้จัก อากง เป็นการส่วนตัว ไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นหน้า.. แต่ผมก็ถือว่า อากง เป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ทึ่ตกเป็นเหยื่อของอำนาจเผด็จการที่ปกครองประเทศนี้อยู่ และสิ่งที่ผมซึ่งเป็นคนเสื้อแดงเล็กๆ คนหนึ่งได้พยายามทำตลอดมาก็คือ ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการผ่านทางข้อเขียน และบทความ และพยายามกระตุ้นเตือนหรือสะท้อนความรู้สึกของคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยให้พรรคเพื่อไทย ได้รับรู้และเข้าใจหัวจิตหัวใจของประชาชนเหล่านั้นที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอธิปไตย... แต่ทว่ากลับยังไม่เคยได้รับสิ่งที่ปรารถนาจากพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่น้อยนิด..ซึ่งก็ยังอาศัยความเชื่อและความศรัทธาอยู่ต่อไป

เพราะว่า......สำหรับคนเสื้อแดงอย่างผมแล้ว “หัวใจเมื่อมอบให้แก่กันแล้ว..จะไม่ขอเอาคืนง่ายๆ” ถึงวันนี้ เวลานี้ ชั่วโมงนี้ ผมยังคงมอบหัวใจให้กับพรรคเพื่อไทยไปทั้งดวง แต่ทว่าผมก็ปรารถนาที่จะได้เห็นการนำเอาข้อท้วงติงต่างๆ จากผู้ที่รักพรรคเพื่อไทย ได้รับการนำไปปฏิบัติเป็นรูปธรรมจากพรรคเพื่อไทยบ้าง

และเชื่อมั่นว่า “หัวใจที่มอบให้ไว้กับพรรคเพื่อไทยที่ได้ร่วมต่อสู้กันมา.. คงไม่ถูกนางฟ้าจากพรรคเพื่อไทยเอาไปเหยียบไว้ใต้รองเท้า” เสียนะครับ

ด้วบความขอบคุณ