วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปประเทศ - แบ่งแยกประเทศ


ปฏิรูปประเทศ - แบ่งแยกประเทศ
กลุ่ม กปปส และกลุ่มในเครือข่ายพันธมิตรในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ชี้ปัญหาว่าเป็นเพราะระบอบทักษิณ ได้สร้างปัญหาให้กับประเทศอย่างมากและไปทุกๆด้าน ทำให้ประชาชนส่วนที่มีความล้าหลังที่สุดทางการเมือง หรือ กลุ่มชนชั้นกลางในเมืองชนชั้นกลางที่ได้เปรียบในสังคม ในสาขาอาชีพ เช่น หมอ ทนาย นักกฎหมาย เป็นต้น ต่างมีความคิดเห็นว่าประเทศมีปัญหา แกนนำกลุ่ม กปปส ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขา รวมทั้งกลุ่มอื่นๆจึงได้ร่วมกันการเคลื่อนไหวมวลชนกดดันให้รัฐบาลลาออกไปแล้วจะปฏิรูปประเทศ

การชูและชี้นำว่าประเทศมีปัญหาก็เลยจะต้องแก้ไขหรือถ้าได้มีการปฏิรูปประเทศแล้วต่างเชื่อว่าการปฏิรูปประเทศจะสามารถขจัดปัดเป่าปัญหาของประเทศไปได้โดยเฉพาะระบอบทักษิณ ด้วยความเคารพในตัวท่านผู้เจริญทั้งหลายว่า การปฏิรูปประเทศ นั้น ก็แสดงว่าประเทศมีปัญหา ซึ่งในปัญหาของความเป็นประเทศ นั้น มีด้วยกัน 2 ลักษณะ คือ ประเทศรัฐเดี่ยวกับประเทศหลายรัฐ  ประเทศรัฐเดี่ยวมีปัญหาในประเทศรัฐเดี่ยว ก็คือ ความเป็นรัฐเดี่ยว กำลังถูกคุกคามและมีความพยายามหรือทำการกดดันทำให้ความเป็นรัฐเดี่ยวสั่นคลอนหรือสิ้นสภาพไป ซึ่งอาจจะมาจากหลายๆปัญหาด้วยกัน เช่น การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด , การยกเลิกการปกครองส่วนท้องที่ ฯลฯ ซึ่งจะว่าในรายละเอียดอีกที

เมื่อเกิดปัญหาของประเทศรัฐเดี่ยว ก็จะต้องมีการปฏิรูปรัฐเดี่ยวให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้อยู่แล้ว ซึ่งหมายถึง ประเทศรัฐเดี่ยวของไทยใครจะแบ่งแยกไม่ได้ แต่นักวิชาการบ้านเราไม่เข้าใจปัญหาของประเทศรัฐเดี่ยว ว่าอะไรคือ ปัญหาของประเทศรัฐเดี่ยว แม้แต่การเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้แบบหลอกๆเท่านั้นเอง 



การปฏิรูปประเทศ ที่กลุ่ม กปปส. ที่จะต้องปฏิรูปประเทศ ก็คือ ทำให้ประเทศรัฐเดี่ยว มีความเข้มแข็งขึ้น ไม่เกิดปัญหาภายในประเทศรัฐเดี่ยว   ปัญหาภายในประเทศ “รัฐเดี่ยว” ที่จะต้องแก้ไข ก็คือ ปัญหาชาติ ในเรื่อง “ชาติ” กับ “รัฐ” ซึ่งเป็นคนละความหมายกันชาติ มีองค์ 5 ประการ คือ การเมืองการปกครองร่วมกัน , เศรษฐกิจร่วมกัน, ดินแดนร่วมกัน ,วัฒนธรรมร่วมกัน และภาษาร่วมกัน  รัฐ หมายถึง ชุมชนที่มีการเมือง 
ปัญหาของประเทศรัฐเดี่ยว ไม่ใช่เกิดจากปัญหาของรัฐเดี่ยวโดยตรง แต่เกิดมาจากปัญหาของชาติ ที่อยู่ภายในขอบเขตของประเทศรัฐเดี่ยว ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ปัญหาชาติ” 

การแก้ไขปัญหาชาติ ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของปัญหาทั้งมวล ถ้าแก้ไขปัญหาชาติได้ปัญหาของประเทศรัฐเดี่ยวก็จะแก้ไขไปได้ เมื่อกลุ่ม กกปส. มีความพยายามจะไปแก้ปัญหาประเทศอย่างการเสนอปฏิรูปประเทศ โดยไม่พยายามจะแก้ปัญหาชาติ จะพยายามแก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่เสร็จและไม่มีทางสำเร็จด้วยอีกต่างหากอย่างที่กล่าวมาว่าองค์ประกอบของชาติ ทั้ง 5 ประการ ที่ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดที่จะทำให้ปัญหาด้านอื่นๆมีความเข้มแข็งได้ คือ การเมืองการปกครองร่วม 


การเมืองการปกครองร่วมที่จะต้องทำให้องค์ประกอบอื่นเข้มแข็งได้ คือ การปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบบเผด็จการยากที่ปกครองร่วมกันได้ได้อย่างราบรื่น ไม่ได้ปัญหาหนึ่งก็เกิดปัญหาหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้วจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาองค์ประกอบอีกทั้ง 4 ประการของชาติให้เข้มแข็งเพราะฉะนั้น ระบอบประชาธิปไตย ก็คือ ปัญหาพื้นฐานของชาติ ถ้าแก้ไขปัญหาพื้นฐานนี้แล้วเสร็จปัญหาอื่นๆก็จะหมดไปเอง


การปกครองแบบประชาธิปไตยจะไม่มีการแบ่งแยกรัฐเดี่ยวหรือมีการทำให้รัฐเดี่ยวอ่อนแอ เพราะระบอบประชาธิปไตยจะสามารถส่งเสริสนับสนุนให้รัฐเดี่ยวเข้มแข็ง เพราะมีอำนาจของประชาชนเป็นส่วนในการดูแลและรักษาไว้ซึ่งในสถานการณ์ขณะนี้ มีความเข้าใจที่ผิดว่าเป็นเพราะปัญหาของระบอบทักษิณ จึงต้องมีการปฏิรูปประเทศ โดยไม่มีการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน ซึ่งไม่มีทางทำสำเร็จ   เมื่อไม่มีการเสนอให้มีการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน จึงเกิดปัญหาอื่นๆตามมาอย่างที่ประจักษ์กับคนไทยทั้งประเทศในขณะนี้ คือ ความคิดจะแบ่งแยกประเทศของกลุ่มคนเสื้อแดง( การแบ่งแยกประเทศถือ ว่าเป็นลักษณะหนึ่งของการปฏิรูปประเทศ)  การแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อบุคคลนี้มีความเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดน นั้น ถ้าทำไม่ถูกจนกลายเป็นกระแสขึ้นมา จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ๆขึ้นอีก โดยเฉพาะถ้าคนส่วนนี้ยอมให้จับกุมเป็นจำนวนมากจะทำอย่างไร


เพราะฉะนั้น ปัญหา ก็คือ ความยุติธรรมในทางการเมือง  หรือ สร้างระบอบประชาธิปไตย ถ้าแก้ไขปัญหาพื้นฐานนี้ได้ความคิดที่จะแย่งแยกประเทศของไม่เกิดขึ้น   แต่ถ้ายังคงมีความคิดที่จะปฏิรูปประเทศ โดยที่ไม่มีการแก้ไขความเป็นระบอบเผด็จการให้เป็นระบอบประชาธิปไตยแล้วความยุติธรรมในชาติก็จะไม่บังเกิดขึ้น  การเรียกร้องขอความยุติธรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและ พตท. ทักษิณ ชินวัตร ก็คือ การเรียกร้องระบอบประชาธิปไตย   แล้วการเรียกร้องความยุติธรรม นั้น จะมีได้เฉพาะภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น  การเรียกร้องหาความยุติธรรมภายใต้ระบอบเผด็จการ นั้น ไม่มีทางได้ความยุติธรรม  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกเพราะในขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลและมีอำนาจรัฐแต่กลับไปเรียกหาความยุติ ก็ย่อมสะท้อนอยู่ในตัวของมันเองว่า ไม่ได้เป็นระบอบประชาธิปไตย 


การไปเรียกร้องหาความยุติธรรมในขณะนี้ที่ตัวเองมีอำนาจรัฐมันก็เป็นเรื่องพิลึกแล้วยังจะอ้างอีกว่า “ปกป้องประชาธิปไตย”  การไปปกป้องประชาธิปไตยในขณะที่ตัวเองก็เรียกหาความยุติธรรมจากความอยุติธรรม มันจะไปได้อย่างไรกัน ลองคิดดูให้ดี   เพราะฉะนั้น ปัญหาที่เกิดจากประเทศรัฐเดี่ยว นั้น ไม่ใช่ปัญหาของรัฐเดี่ยวโดยตรงที่จะต้องไปปฏิรูปประเทศ เช่นเดียวกับปัญหาของประเทศหลายรัฐ ที่จะต้องไปปฏิรูปประเทศหลายรัฐให้เข้มแข็ง หรือ ปัญหามาจากประเทศหลายรัฐโดยตรง  เรื่องของการแบ่งแยกประเทศ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเมื่อแบ่งแยกแล้วจะแก้ไขปัญหาได้ถ้าตราบใดปัญหาภายในหลังจากการแบ่งแยกแล้วไม่แก้ปัญหาประชาธิปไตย.



วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

"ป๋าเปรม" อยากให้ "ประยุทธ์" ไปอ่านข้อความที่ฐานรูปปั้น "พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา"




เมื่อเวลา 14.29 น. วันที่ 14 มีนาคม 2557 ที่ค่ายกฤษณ์สีวะรา จังหวัดทหารบกสกลนคร อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เดินทางไปเปิดอนุสาวรีย์ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา  ซึ่งพล.อ.เปรมได้ปรารภกับ พลโท จีระศักดิ์ ชมประสพ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ถึงการดำเนินการก่อสร้างอนุสาวรีย์ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา อดีตผู้บังคับบัญชา ที่ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพภาคที่ 2 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง แม่ทัพภาคที่ 2 โดยเฉพาะแนวคิดในการวางกำลังทหารในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการต่อสู้และแก้ไขปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และเป็นรากฐานความมั่นคงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  โดยมีพลโทชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2  นายไกรราศ แก้วดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พลตรีธนากร จงอุตส่าห์ ผบก.จทบ.สกลนคร พลตำรวจตรีพลศักดิ์ บรรจงศิริ  ผบก.ภจว.สกลนคร ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ ประชาชน เข้าร่วมให้การต้อนรับและร่วมในพิธี

ต่อมากองทัพภาคที่ 2 ได้จัดทำโครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์ พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ขึ้นมา  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กำลังพลข้าราชการทหาร ที่รับราชการปัจจุบัน และที่เกษียณอายุราชการแล้วได้รำลึกถึงคุณงามความดีของอดีตผู้บังคับบัญชา ที่ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมือง พร้อมทั้งต้องการให้ข้าราชการทหารในรุ่นต่อไป ได้จดจำการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชาในอดีต ตลอดจนมีจิตสำนึก ที่จะปกป้องชาติและอธิปไตย นอกจากนี้ต้องการให้เยาวชนได้ศึกษาความรู้ ด้านประวัติศาสตร์ปูชนียบุคคล

ต่อจากนั้น พลเอกเปรม ได้เดินมายังด้านหน้าอนุสาวรีย์พร้อมกับวางพานพุ่มดอกไม้สดและพวงมาลัย  จากนั้นก็เดินชมอย่างใกล้ชิด ทั้งยังได้กล่าวปรารภกับเหล่านายทหารที่เข้าร่วมงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผบก.จว.ทหารบกในภาคอีสาน ขณะเดินเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ พล.อ.เปรม ได้อ่านข้อความอักษรบันทึกที่ฐานรูปปั้น แล้วกล่าวสั้นๆ ว่า"ตรงจุดนี้น่าจะให้ ผบ.ทบ.มาอ่านดูบ้างนะ"  (คำพูดที่ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา เคยกล่าวไว้กับผู้ใต้บังคับบัญชา และได้นำมาแกะสลักไว้ที่ใต้ฐานอนุสาวรีย์ คือ "ทหารเรายืนอยู่บนเกียรติอันสูงส่ง ที่ประชาชนคนไทยหวังเป็นที่พึ่งขั้นสุดท้ายของเขา"

แม่ทัพภาคที่ 2  ได้กล่าวตอบว่า "ได้ครับ จะไปเชิญท่านมาอ่านดูครับ" เมื่อเสร็จสิ้นจึงได้เชิญคณะผู้เกี่ยวข้องร่วมกันถ่ายภาพเพื่อเป็นที่ระลึกบริเวณด้านหน้าอนุสาวรีย์พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ร่วมกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งเมื่อเสร็จพิธีได้ออกจากพื้นที่เพื่อกลับเข้าเรือนรับรองโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ

https://www.blogger.com/blogger.g?blogID=43072467541732239#editor/target=post;postID=5161547273180121698;onPublishedMenu=posts;onClosedMenu=posts;postNum=0;src=link

ฟันผบ.ซีล เข้ากรุ-เซ่นม็อบ


ทูลเกล้าโผทหาร ฟันผบ.ซีล เข้ากรุ-เซ่นม็อบ บช.น.ประชุมคลี่อีก 2ศพ เปิดคลิปมัดแก๊งไอ้โม่ง โยนศพทิ้งจากพระราม8

ชงครม.เลิกพรก.18มีค. "ธาริต"ยันคดีกบฏไม่ล้ม

เตรียมทูลเกล้าฯชื่อโผทหาร สรุปเด้งผบ.หน่วยซีลเข้ากรุ เซ่นเกี่ยว ม็อบ ศรส.เผยเสนอครม. ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน18 มี.ค.นี้ แล้วประกาศใช้พ.ร.บ.มั่นคงแทน พร้อมลดบทบาทให้ศูนย์ใหม่ทำหน้าที่แทน ปึ้งยันเดินหน้าเชิญเลขายูเอ็นมาไทย พร้อมพาเจอประธานองค์กรอิสระ ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ปปช. กกต. แขวะคนค้านกลัวยูเอ็นรู้ความจริง บช.น.ประชุมคลี่คลาย 3 คดีที่เหยื่อถูกเปลี่ยนใส่เสื้อม็อบก่อนโยนทิ้งน้ำ ระบุมีภาพวงจรปิดมัด 4 ไอ้โม่งขับกระบะดีแมคซ์ทิ้งศพกลางสะพานพระราม 8

ปึ้งแจงเหตุเชิญเลขาฯยูเอ็น 

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 13 มี.ค.ที่บช.ปส. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ปฏิบัติหน้าที่รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศรส. กล่าวถึงข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศออกจดหมายเปิดผนึกคัดค้านการเชิญนายบัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มาร่วมแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยว่า คงเกิดจากความไม่เข้าใจ อาจไม่ได้รับทราบข้อมูลที่ชัดเจน จึงอยากฝากว่าสิ่งที่ตั้งใจคือประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย ความรุนแรงจากการประท้วง มีการใช้อาวุธและวิธีต่างๆ ก่อให้เกิดความแตก แยก ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นท้ายที่สุดยูเอ็นก็ต้องเข้ามาอยู่ดี

นายสุรพงษ์กล่าวว่า การที่ตนทำหนังสือถึงเลขาฯ ยูเอ็น เนื่องจากเลขาฯ ยูเอ็นมีแถลง การณ์ประณามการทำร้ายประชาชน โดยเฉพาะเด็ก และแสดงความเอื้ออาทรอยากเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ตนจึงตอบรับแถลงการณ์ฉบับนั้น เพราะยูเอ็นมีประสบ การณ์ถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในนานาประเทศ จึงขอให้มาช่วยเป็นคนกลางพูดคุยกับฝ่ายต่างๆ เพราะตนไม่ต้องการเห็นคนไทยแตกแยก และมีความรักประเทศ การที่ตนดำเนินการดังกล่าวเพราะเป็นประธานที่ปรึกษาศรส. ติดตามสถานการณ์ความวุ่นวายในประเทศเป็นเวลา 4 เดือน



ชี้กลุ่มค้านกลัวยูเอ็นรู้ความจริง

"ผมเข้าใจฝ่ายที่แสดงความห่วงใย แต่ท่านจะมีความรู้ในแง่ความขัดแย้งต่างๆ ดีเท่ากับผมหรือไม่ ในวันที่ 14 มี.ค.จะประชุม ผู้บริหารของกระทรวงว่าแต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นอย่างไร เนื่องจากจดหมายเปิดผนึกทำถึงผู้บริหารกระทรวง แต่ในฐานะที่ผมเป็น ผู้บริหารสูงสุดในกระทรวง การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ผมต้องรับผิดชอบ ผมตั้งใจนำประเทศให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมโดยไม่ต้องสูญเสีย พวกที่คิดหนักคือพวกที่กลัว กลัวความจริงจะปรากฏ กลัวนายบัน คีมุน จะมาล้วงความลับตัวเองหรืออย่างไร ทำไมเราต้องปิดบังโลกแล้วให้ยูเอ็นเข้าไปทีหลัง อย่างยูเครน ซีเรีย ทำไมไม่รู้จักเอาเขามาใช้ก่อน ต้องรอให้เด็กตีกันแล้วครูออกมาห้ามหรือ ยืนยันว่าปลายเดือนนี้ประเทศจะสงบ อาจเป็นเพราะผมเชิญเลขาฯ ยูเอ็นเข้ามาก็ได้ เพราะมีคนกลัวความจริงเปิดเผยเลยตัดสินใจเลิกชุมนุม บางคนกลัวฝรั่งคิดว่าฝรั่งเป็นพ่อ แต่อย่างพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ไม่กลัวเพราะบอกไว้ว่ายูเอ็นไม่ใช่พ่อ" นายสุรพงษ์กล่าว



เผยจะพาพบองค์กรอิสระ 

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้เลขาฯ ยูเอ็นยังไม่ได้ให้การตอบรับมา เนื่องจากติดภารกิจอยู่ที่แอฟริกา และตนจะขอรอคำตอบก่อน ถ้าเลขาฯ ยูเอ็นพร้อมเข้ามาตนต้องจัดรายการให้ว่าจะพบใครบ้าง อาจเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. เพราะวันนี้มีกระบวนการใช้องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรมพยายามไม่ให้ความเป็นธรรม การพูดคุยนั้นไม่ได้เจาะจงเนื้อหาสาระ แต่กระบวน การที่เกิดขึ้นขณะนี้เราต้องเอาความจริงพูดให้ฟัง แต่ถ้าเลขาฯ ยูเอ็นไม่มีประสบการณ์ก็จะบอกเราว่าไม่มีประสบการณ์แนะนำ

ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าผู้บริหารของกระทรวงการต่างประเทศไม่เห็นด้วยในการเชิญเลขาฯ ยูเอ็น จะพิจารณาการเชิญใหม่หรือไม่ นาย สุรพงษ์กล่าวว่า ตนตัดสินใจทำหนังสือเชิญในฐานะรัฐมนตรี เหมือนครั้งที่ตนทำเรื่องปราสาทพระวิหาร แม้ผู้บริหารกระทรวงไม่เห็นด้วย แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ทั้งการเปิดเผยข้อเท็จจริง และถ่ายทอดสดการอ่านคำพิพากษา คนไทยจึงรู้ความจริง ซึ่งรัฐบาลก่อนไม่เคยคิดทำ บังเอิญโชคดีที่ตัดสินใจถูกเลยแก้ปัญหาปราสาทพระวิหารได้สำเร็จ ทั้งนี้ ไม่ใช่การที่ใครบางคนสะกิดขึ้นมาแล้วความคิดของคนนั้นจะถูกเสมอไป แต่เมื่อถึงจุดสุดท้ายที่ต้องตัดสินใจคนที่ตัดสินใจก็อาจจะโชคดี เหมือนคดีประสาทพระวิหารก็เป็นได้

"เราล้าหลังมามากและไม่ได้เป็นผู้นำอาเซียนอีกต่อไป โครงการรถไฟความเร็วสูงศาลรัฐธรมนูญก็ไม่ให้ผ่าน ความเชื่อมั่นต่างชาติก็ถดถอย เราต้องรับกรรมพร้อมกัน วันนี้ประเทศไทยต้องเปิดเผย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มันไม่ใช่ของพวกเราคนใดคนหนึ่ง เราต้องรับผิดชอบร่วมกัน คนเราต้องรักชาติด้วยความจริงใจ ไม่ใช่รักจนน้ำลายหก" นาย สุรพงษ์กล่าว


เลิกใช้พรก.ฉุกเฉิน 18 มี.ค.นี้ 

พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กรรมการ ศรส. ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณายกเลิก ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า ที่ประชุม ศรส.หารือได้ข้อสรุปตรงกันว่าเห็นควรยกเลิกประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งจะครบกำหนดประกาศใช้ในวันที่ 22 มี.ค.นี้ โดยจะนำพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาบังคับใช้เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย โดยจะเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม ครม.เห็นชอบ รวมทั้งการพิจารณาแต่งตั้งผู้มีอำนาจสั่งการตามพ.ร.บ.ความมั่นคงคนใหม่ในวันที่ 18 มี.ค.นี้ ซึ่งการปรับจากพ.ร.ก. ฉุกเฉินมาเป็นพ.ร.บ.ความมั่นคงนั้น ที่ประชุมพิจารณาจากสถานการณ์การชุมนุม รวมทั้งข้อจำกัดในการปฏิบัติของ ศรส.หลังจากศาลแพ่งมีคำวินิจฉัย แม้จะมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายแต่ยังบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและคงพื้นที่ประกาศใช้เหมือนเดิม

เมื่อถามถึงกระแสข่าวมีชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม จะเป็น ผอ.เหตุการณ์แทนร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะ ผอ.ศรส. พล.ท.ภราดรกล่าวว่า ขึ้นกับนายกฯ จะพิจารณามอบหมายใครทำหน้าที่ดังกล่าว

พล.ท.ภราดรกล่าวกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ส่งสัญญาณเป่านกหวีด ระดมมวลชน กปปส.ครั้งใหญ่อีกครั้งในเร็วๆ นี้ว่า ฝ่ายปฏิบัติงานยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ตลอด เมื่อแกนนำประกาศออกไปก็คงมีการเคลื่อนมวลชนจากพื้นที่ต่างๆ มาร่วมชุมนุมให้มากที่สุด ซึ่งเราต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใดๆ


ศรส.พร้อมสู้คดีผ่านฟ้า 

เมื่อเวลา 12.30 น. ที่บช.ปส นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะกรรมการศรส. แถลงผลประชุม ศรส.ถึงกรณีญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกับพวก 6 คน ต่อศาลอาญา ว่า ศรส.ขอยืนยันว่าการปฏิบัติการบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ไม่ใช่การสลายการชุมนุม หรือการกระชับพื้นที่ หรือการขอคืนพื้นที่ แต่เป็นการเข้าตรวจค้น ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับของศาล และเพื่อเปิดสถานที่ราชการหรือถนนสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม ซึ่งปฏิบัติ ตามกรอบกฎหมายและความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้นจึงให้กำลังตำรวจกลับสู่ที่ตั้ง การฟ้องคดีของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามกฎหมาย ศรส.พร้อมชี้แจงต่อสู้คดีตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม โดยส่งเรื่องให้พนักงานอัยการแก้ต่างคดีโดยเร็วต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าที่ประชุมศรส.พูดคุยเรื่องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า มีการสอบถามความเห็นในประเด็น ดังกล่าว แต่ไม่ได้มีมติ ส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะสิ้นสุดวันที่ 22 มี.ค.นี้ เพียงพอสมควรแก่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ควรลดระดับความเข้มข้นของกฎหมายลง ไปเป็นการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง จากนี้ ศรส.จะแถลงกรณีจำเป็นเท่านั้น โดย ศรส.จะงดประชุม 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 14-16 มี.ค.นี้



ยันดำเนินคดีต่อเนื่อง 

นายธาริตกล่าวว่า ที่ประชุม ศรส.พูดคุยกันมากถึงสิ่งที่ต่อเนื่องจาก พ.ร.ก. คือการดำเนินคดีซึ่งหยุดไม่ได้ โดยเฉพาะคดีข้อหากบฏ ขณะนี้มีผู้ร่วมกระทำความผิด 58 คน และคดีฐานขัดขวางการเลือกตั้งที่สูงถึง 371 คดี ซึ่งผู้กระทำผิดส่วนหนึ่งทับซ้อนกับ ผู้กระทำผิดข้อหากบฏ สิ่งเหล่านี้หยุดไม่ได้ จะเปลี่ยนแปลงจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็น พ.ร.บ. ความมั่นคง แต่การดำเนินคดีต้องทำต่อเนื่องไป นอกจากนี้ยังพิจารณาว่าการที่แกนนำ กปปส.เข้าไปอยู่ในสวนลุมพินี และจัดเวทีเชิงวิชาการรายวัน จากการวิเคราะห์ของสันติบาล สำนักข่าวกรอง เห็นว่าแกนนำพยายามนำกิจกรรมส่วนนี้มาใช้ต่อสู้คดี ให้เห็นว่าที่ถูกดำเนินคดีข้อหากบฏและขัดขวางการเลือกตั้ง แม้ต้องการให้มีการปฏิรูปแต่จะเห็นว่าไม่มีความชัดเจน ซึ่งเป็นข้อผิดปกติว่าเหตุใดจึงไม่ทำในระดับประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ศรส. แจ้งว่าจะงดประชุมศรส.ตั้งแต่วันที่ 14-16 มี.ค. อ้างว่าอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไปใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณา จักร ดังนั้น ในช่วงที่รอการเปลี่ยนแปลง การดำเนินการในระดับนโยบายจึงลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะชงเรื่องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าที่ประชุมครม. วันที่ 18 มี.ค. และหากเปลี่ยนจากการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาเป็น พ.ร.บ. ความมั่นคง จะยังใช้ บช.ปส. เป็นสถานที่ทำงานตามเดิม


กอ.รมน.จัดเสวนาในชุมชน 

ที่กอ.รมน. พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกอ.รมน. กล่าวภายหลังการประชุมหน่วยขึ้นตรงของกอ.รมน. ว่า กอ.รมน.คาดว่ากลุ่มต่อต้านรัฐบาลยังไม่มีการยกระดับการชุมนุมใหญ่ โดยจะรอผลการวินิจฉัยและตัดสินคดีของศาลและองค์กรอิสระก่อน ส่วนกลุ่มที่จัดกิจกรรมเพื่อปกป้องรัฐบาลอาจเคลื่อนไหว นำมาซึ่งการกระทบกระทั่งกันได้ จึงหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมป้องกันระงับยับยั้งสถาน การณ์ไม่ให้ลุกลามในทางที่ก่อให้เกิดความแตกแยกรุนแรง เตรียมการเจรจาเพื่อขอความร่วมมือในโอกาสแรกที่ทำได้ การกวดขันจับกุมอาวุธสงคราม รวมทั้งการจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสามัคคี เช่น การจัดประชุมเสวนาผู้นำชุมชน ผู้จัดรายการวิทยุชุมชน

พ.อ.บรรพตกล่าวว่า จากกรณีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะรอง ผอ.รมน. สั่งการให้แม่ทัพภาคต่างๆ ร่วมหารือกับผู้ว่าเพื่อแก้ปัญหาการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังในสังคม และได้ข้อสรุปว่าควรมีกิจกรรมส่งเสริมความสามัคคี โดยจะจัดสัมมนาเชิญผู้นำท้องถิ่น นักจัดรายการวิทยุ ตลอดจนสื่อมวลชนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยให้ผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัดแยกย้าย กันไปดำเนินการ


บช.น.คลี่คดีศพนิรนาม 

วันเดียวกัน ที่บช.น. พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วยพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.น.7 พ.ต.อ.เมธี รักพันธุ์ รอง ผบก.น.7 พ.ต.อ.ชยานนท์ มีสติ รองผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ทิวา โสภาเจริญ ผกก.สส.บก.น.7 ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมคลี่คลายคดีชายนิรนามถูกยิงเสียชีวิตและ ทิ้งศพไว้บริเวณ ถนนกำแพงเพชร 6 ท้องที่สน.ประชาชื่น และคดีศพชายนิรนามถูกทำ ร้ายยัดศพใส่กระสอบป่านโยนทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้โรงเเรมริเวอร์ไซด์ ท้องที่ สน.บวรมงคล ซึ่ง 2 คดี แต่งกายคล้ายกลุ่ม ผู้ชุมนุม กปปส.รวมถึงคดีของนายยืม นิลหล้า รปภ.ซึ่งถูกการ์ดกปปส.ทำร้ายร่างกายและนำศพไปโยนทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง แต่รอดชีวิตมาได้ โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง


เผยมีวงจรปิดมัดคนร้าย 

พล.ต.ต.ฐิติราชกล่าวว่า การประชุมติด ตามความคืบหน้าคดีที่เกิดขึ้น 3 คดี ซึ่งมีความคืบหน้าไปพอสมควร ฝ่ายสืบสวนมีพยานหลักฐานที่จะเชื่อมโยงไปถึงคนร้ายได้ ทั้งภาพวงจรปิดและข้อมูลจากพลเมืองดีที่นำมามอบให้กับตำรวจ ซึ่งคดีที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีแผนประทุษกรรมที่คล้ายกัน แต่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด และเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองในขณะนี้หรือไม่ ต้องขอเวลาให้ฝ่ายสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนกว่านี้เสียก่อน รวมถึงให้ภาพที่ฝ่ายสืบสวนได้ข้อมูลมา เป็นตัวเดินเรื่องและสาวไปถึงตัวกลุ่มคนร้าย



ชี้ 3 คดีถูกเปลี่ยนใส่เสื้อม็อบ

ด้านพ.ต.อ.เมธีกล่าวว่า สำหรับคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของนครบาลคดีแรกเป็นคดีที่พบศพชายนิรนามถูกยิงเสียชีวิตและนำศพมาทิ้งไว้ที่ริมถนนกำแพงเพชร 6 สวมเสื้อสัญลักษณ์คล้ายกับผู้ชุมนุมกปปส. ซึ่งต่อมาฝ่ายสืบสวนได้ข้อมูลว่าชายคนดังกล่าวคือนายบุญเที่ยง คำอิ่ม อายุ 41 ปี เป็นชาวจังหวัดชัยภูมิ คดีที่ 2 คดีชายนิรนามถูกฆ่ายัดใส่กระสอบและนำศพมาโยนทิ้งในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยศพลอยไปติดใกล้โรงเเรมริเวอร์ไซด์ และพบว่าสวมเสื้อสัญลักษณ์คล้ายคลึงกับผู้ชุมนุมกปปส.อีกเช่นกัน แต่ขณะนี้ยังพิสูจน์ทราบไม่ได้ว่าเป็นใคร มีเพียงบุคคลที่หน้าตาคล้าย เมื่อตรวจสอบไปพบว่ายังมีชีวิตอยู่ และคดีที่สามเป็นคดีของนายยืม รปภ.ซึ่งถูกทำร้ายร่างกายและยัดใส่กระสอบไปโยนทิ้งแม่น้ำบางปะกง โชคดีที่มีพลเมืองดีผ่านมาเห็นจึงรอดชีวิต

พ.ต.อ.เมธีกล่าวอีกว่า ทั้ง 3 คดีมีความคล้ายคลึงกันหลายประการ 1.ถูกทำร้าย ร่างกายเหมือนกัน 2.ถูกมัดมือมัดเท้า 3.เสื้อที่ ผู้ตายและผู้บาดเจ็บใส่ ไม่ใช่เสื้อของผู้ตาย แต่เป็นเสื้อที่คนร้ายนำมาใส่ให้ ซึ่งนายยืม รปภ.ที่รอดชีวิต เป็นคนให้ปากคำกับตำรวจว่าหลังจากถูกทำร้ายก็ถูกถอดเสื้อออกไปและมีการนำเสื้ออีกตัวมาใส่ให้ 4.มีสายข้อมือลายธงชาติสวมอยู่ที่ข้อมือ และสายนกหวีดคล้องที่คอ 5.จากการตรวจสอบประวัติของนายบุญเที่ยงและนายยืมพบว่าเคยเป็นการ์ดของนปช. 6.อำพรางศพโดยการนำไปโยนทิ้งน้ำในช่วงกลางดึก และสุดท้ายเหยื่อทั้งสามรายเป็นเพศชายเหมือนกันซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อมโยงกันของ 3 คดี 



คลิปจับภาพ 4 ไอ้โม่งที่พระราม 8

"นอกจากนี้ ยังมีภาพสำคัญที่จะนำมาเป็นเบาะแส เป็นภาพชายกลุ่มหนึ่งขับรถต้องสงสัยนำศพไปโยนทิ้งบนสะพานพระราม 8 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมีการปิดสะพานพระราม 8 ทั้งหัวและท้าย ไม่ให้รถยนต์ขึ้นไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร ทำความสะอาด พื้นถนน ก่อนที่จะมีการเปิดให้ใช้สะพาน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมขึ้นไปปิดถนนบนสะพานพระราม 8 สำหรับรถคันดังกล่าวเป็นรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแมคซ์ สีฟ้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มีชายสวมไอ้โม่ง 4 คน นั่งอยู่ภายในรถ โดยนั่งด้านหน้า 2 คนและด้านหลัง 2 คน ขับมุ่งหน้ามาจากแยกจปร. จากนั้นเข้าไปเจรจากับเจ้าหน้าที่กทม. ก่อนที่จะขับรถยนต์ขึ้นไปบนสะพานมุ่งหน้าฝั่งธนบุรี แต่เมื่อถึงกลางสะพาน ได้กลับรถคล้ายกับจะลงสะพาน แต่ปรากฏว่าคนขับจอดรถพร้อมกับโยนวัตถุบางอย่างลงมา บนขอบสะพานซึ่งเป็นทางเดิน จากนั้นก็มีชาย 2 คนลงมาช่วยกันยกวัตถุดังกล่าวโยนทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนจะขับรถลงสะพานและยิงปืนขึ้นฟ้า 3 นัด แล้วหลบหนีไปทางแยกจปร.



สั่งล่าดีแมคซ์สีฟ้าคันก่อเหตุ 

พล.ต.ต.ฐิติราชกล่าวอีกว่า ทั้งหมดนี้เป็น การรวบรวมแผนประทุษกรรมของคนร้าย เพื่อใช้ประกอบเป็นแนวทางการสืบสวน ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นจุดที่ทิ้งอำพรางศพ ไม่ใช่จุดที่ทำร้ายร่างกายและมีการเคลื่อนย้ายศพ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างพิสูจน์ทราบ เพราะจุดเกิดเหตุจะเป็นตัวที่บอกรายละเอียดได้ ผู้เสียชีวิตถูกทำลายหลักฐานความเป็นตัวตนเดิม และนำเอาเสื้อผ้าอุปกรณ์ต่างๆ มาสวมให้ แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ากลุ่มคนร้ายมีวัตถุประสงค์อะไรที่ทำแบบนี้ ต้องขอเวลาให้ตำรวจทำงานสักระยะ ส่วนรถกระบะคันดังกล่าวตำรวจพอมีเบาะแสบ้างแล้ว แต่ยังเปิดเผยไม่ได้


เมื่อถามว่า ผู้ตายและผู้บาดเจ็บทั้ง 3 คดีนี้มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชุมนุมและเกี่ยวกับกลุ่มของนายอิสสระ สมชัย หรือไม่ พล.ต.ต.ฐิติราชกล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ ต้องรอให้มีหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้ ให้ภาพและหลักฐานเป็นตัวเดินเรื่องไปสู่การจับกุม ดีกว่า

เมื่อถามว่าขณะนี้ได้เบาะแสจากศพทั้ง 3 ศพ เกี่ยวกับดีเอ็นเอผู้ที่ทำร้ายหรือไม่ พล.ต.ต. ฐิติราชกล่าวว่า อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล ถามว่าตอนนี้มีการตรวจสอบกระบะ อีซูซุ ดีแมคซ์ สีฟ้าหรือไม่ ว่าติดสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ พล.ต.ต.ฐิติราชกล่าวว่า อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ โดยต้องการอยากให้ พี่น้องประชาชนที่มีข้อมูลเบาะแสดังกล่าวช่วยส่งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนต่อไป



ม็อบขวางเลือกตั้งมอบตัว 


ที่สภ.เมืองนครศรีธรรมราช แกนนำ กปปส.นครศรีธรรมราช 6 ราย ประกอบด้วยนางอรอุมา เรืองสังข์, นายเทียนชัย อินทศิลา, น.ส.เกศกมล อุดหนุนกาญจน์, นายฉัตรชัย พรหมพัตร, นายดำรงค์ จงรักจิต และนายคธา รุ่งโรจน์รัตกุล เข้ารายงานตัวกับพนักงานสอบ สวน ตามหมายเรียกคดีอาญาของพนักงานสอบสวนในชั้นสอบสวน ซึ่งทั้ง 6 ขอเลื่อนนัด แต่พนักงานสอบสวนไม่ยินยอม โดยถ้าเลื่อนนัดอีกจะออกหมายจับ โดยมีนายลือชา เปี่ยมสุวรณ ทนายความเข้าดูแลด้วย รวมทั้งมวลชนกว่า 500 คนมาให้กำลังใจ


ทั้งนี้แกนนำทั้ง 6 รายนี้ถูกนายวิโรจน์ ขวัญเกื้อ และนายนิภาภูเบศว์ ฝั่งชลจิต สมาชิกและผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้าแจ้งความดำเนินคดีข้อหาขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 ม.ค. และขัดขวางการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. โดยทั้ง 6 รายเข้ารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหา โดย พ.ต.อ. สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผกก.สภ.เมืองนครศรี ธรรมราช สั่งการพนักงานสอบสวนนำทั้ง 6 รายส่งศาลทันที โดยให้ไปยื่นประกันตัวในชั้นศาล 



ม็อบแจ้งจับหมวดเจี๊ยบ

สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อเวลา 18.15 น. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ แกนนำ กปปส. กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า กรณี ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต หรือ "หมวดเจี๊ยบ" ไปแจ้งความว่าการ์ด กปปส. ข่มขืนใจและทำร้ายร่างกายนั้น ข้อเท็จจริงคือวันเกิดเหตุ การ์ดเห็นว่าหมวดเจี๊ยบมาใช้บริการที่คลินิก ติดกับเวที กปปส. ด้วยความหวังดีจึงนำตัวออกมา เพราะเกรงว่าจะปะทะกับผู้ชุมนุม แต่ตำรวจกลับให้ข่าวว่าจะออกหมายจับการ์ดทั้ง 9 คน ข้อหาข่มขืนใจ แกนนำได้คุยกับการ์ดทั้ง 9 คนแล้ว ทราบว่าไม่มีการใช้กำลังประทุษร้าย จึงจะแจ้งความให้ดำเนินคดีกับหมวดเจี๊ยบในข้อหาแจ้งความเท็จต่อไป


ผบ.ซีลถูกเด้ง-เซ่นหนุนม็อบ 

วันที่ 13 มี.ค. พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการจัดทำบัญชีโยกย้าย นายทหารกลางปีว่า วันที่ 11 มี.ค. ตนส่งบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารให้กับ กกต.พิจารณา และวันที่ 12 มี.ค. ทาง กกต.เชิญตนไปชี้แจง ซึ่งบัญชีปรับย้ายไม่มีปัญหา คาดว่าภายในวันที่ 14 มี.ค.นี้ บัญชีปรับย้ายจะส่งมาถึงตนและตนจะนำส่งให้นายกฯ ลงนาม ก่อนส่งให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ตามขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะนำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ในวันที่ 17 มี.ค.นี้ ถือว่าอยู่ในกรอบเวลาที่เหมาะสม



รายงานข่าวแจ้งว่า บัญชีโยกย้ายนายทหารกลางปีครั้งนี้ นายกฯ ให้อิสระกับผบ.เหล่าทัพในการปรับย้าย โดยไม่ได้แทรกแซงแต่อย่างใด ส่วนตำแหน่งที่น่าสนใจในการปรับย้ายครั้งนี้ ประกอบด้วย พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.15) นายทหารสายบูรพาพยัคฆ์และเคยพลาดหวังจากการขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 มาถึง 2 ครั้งจะขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แทน พล.ท.สกล ชื่นตระกูล แม่ทัพภาคที่ 4 ที่ขยับขึ้นกินอัตราพลเอก ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก 


พล.ท.พิสิทธิ์ สิทธิสาร (ตท.17) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จะขยับขึ้นมาเป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.วราห์ บุญญะสิทธิ์ (ตท.18) ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) ที่ขณะนี้เป็น ผบ.กองกำลังทหารควบคุมการดูแลรักษาความปลอดภัยภายในกรุงเทพฯ จะขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 โดยพล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ (ตท.20) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 15 (ผบ.มทบ.15) ลูกชายพล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) จะกลับมาเป็น ผบ.พล.1 รอ. พล.ต.ศักดา เปรุนาวิน (ตท.18) ผบ.พล.ร.3 เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 


ส่วนกองทัพเรือ มีตำแหน่งที่น่าสนใจคือ การปรับย้าย พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ (ตท.16) ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) หรือ ผบ.หน่วยซีล ออกจากตำแหน่ง หลังจากพล.ร.ต.วินัยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในเชิงลบต่อรัฐบาล จนทำให้นายกฯ และกองทัพเรือเกิดความไม่สบายใจ อีกทั้งยังมีกระแสข่าวว่าพล.ร.ต.วินัยให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มกปปส.ด้วย ทำให้พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. ปรับย้ายพล.ร.ต.วินัยไปดำรงตำแหน่งฝ่ายเสธ.ประจำผู้บังคับบัญชา อัตราพลเรือตรี และโยก พล.ร.ต.ยุจ พิจิตรชุมพล หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ (ตท.18) ผบ.กองเรือยุทธการ ที่เคยเป็นทั้งรองผบ.นสร. และเสธ.นสร. มาเป็น ผบ.นสร. เพื่อขัดตาทัพไปก่อน 


พล.ร.ต.วินัยกล่าวเพียงสั้นๆ ถึงกระแสข่าวถูกปรับย้ายออกจากตำแหน่งว่า ยังไม่ทราบเรื่อง ขอให้เป็นเรื่องอนาคต ผลออกมาอย่างไรค่อยว่ากันอีกที
 



http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU5EYzJNVFE1TkE9PQ%3D%3D&sectionid
จำนวนคนอ่านล่าสุด 5254 คน
วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 12:00 น.  ข่าวสดออนไลน์