วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฉากสุดท้ายของราชวงศ์ชาห์เนปาล

ฉากสุดท้ายของพระราชวงศ์ชาห์แห่งเนปาลเป็นไปอย่างอัปยศ รัฐบาลใหม่ของเนปาลเตือนให้กษัตริย์คยาเนนทราต้องออกจากพระราชวังในวันที่ 28 พฤษภาคม2551 หลังสมัชชาแห่งชาติเปิดประชุมครั้งแรก พร้อมคำประกาศเลิกสถาบันกษัตริย์ ถือเป็นการสิ้นสุดทั้งราชวงศ์ชาห์แห่งเนปาลที่ปกครองประเทศมายาวนานถึง 239 ปี และระบอบกษัตริย์ในประเทศนี้ไปพร้อมๆกัน

พระองค์ทรงมีพระราชขัตติยะมานะ เพราะเลยเส้นตายของรัฐบาลสาธารณรัฐล่วงไปถึง 11 มิถุนายน 2551 กษัตริย์คยาเนนทราจึงพร้อมด้วยพระราชินีของพระองค์เสด็จออกจากพระราชวังเพื่อไปประทั​บ ณ พระตำหนักนิรมาลนิวาส พระตำหนักส่วนพระองค์ โดยมีชาวเนปาลที่ต่อต้านพระองค์มากลุ้มรุมส่งเสียงโห่ไล่ และเต้นรำเฉลิมฉลองกันสุดเหวี่ยง

ราชวงศ์ชาห์ ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ชาวเนปาลเคยนับถือดั่งเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ได้กลายเป็นตำนาน หลังสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกาศให้เนปาลเป็นประเทศสาธารณรัฐอย่างเป็นทางการ ในการประชุมนัดแรกในวันที่ 28พฤษภาคม 2551

ชะตากรรมของอดีตกษัตริย์คยาเนนทราหลังจากนั้นก็คือ การไฟฟ้าของเนปาลได้จัดส่งบิลไปเก็บค่าไฟฟ้าที่คิดค้างไว้ราว 40 ล้านบาท โดยบอกว่าทรงติดไว้นับแต่ปี2548เป็นต้นมา

และไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะถูกล้มล้าง พระองค์ได้ไปปรากฎตัวต่อสาธารณชนอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้ง โดยทรงเข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่วัดแห่งหนึ่งทางใต้ของกรุงกาฏมาณฑุ เพื่อทำพิธีเชือดแพะบูชายัญ หวังจะต่ออายุพระราชวงศ์ ทว่าไม่เป็นผลใดๆ

มีรายงานว่า พระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ถูกปลดออกจากฝาตามร้านรวงต่างๆ รวมทั้งถูกถอดออกจากธนบัตร ขณะที่คำว่า "Royal"ก็ถูกลบออกจากชื่อของกองทัพ รวมทั้งสายการบินแห่งชาติ และรัฐบาลได้งดจ่ายเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายของพระองค์ปีละ 3 ล้าน 1 แสนดอลลาร์ และยึดวัง 10 แห่งของราชวงค์คืน


กษัตริย์คยาเนนทราทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระเชษฐา คือกษัตริย์พิเรนทรา ที่ถูกเจ้าชายทิเพนทรา มกุฎราชกุมาร ปลงพระชนม์พร้อมด้วยพระราชวงศ์เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2544 แต่ความศรัทธาในตัวพระองค์เสื่อมถอยลง หลังพระองค์ทรงเข้าแทรกแซงการเมือง โดยยึดอำนาจเบ็ดเสร็จมาจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้ง และให้คำมั่นว่าจะบดขยี้กลุ่มกบฎลัทธิเหมาด้วยพระองค์เอง แต่ถูกกระแสต่อต้านจากประชาชนจนต้องทรงยอมคืนอำนาจให้กับประชาชนในที่สุด

แต่ชาวเนปาลกลับไปไกลกว่านั้น คือให้ล้มเลิกระบบกษัตริย์ และเปลี่ยนไปเป็นสาธารณรัฐแทน


การประท้วงใหญ่เดือนเมษายน และการสละพระราชอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์

ในเดือนเมษายน 2549 ภายใต้การนำของพันธมิตร 7 พรรคการเมืองเนปาล (Seven Party Alliance - SPA) และกบฏลัทธิเหมาได้มีการต่อต้านครั้งใหญ่เพื่อทวงประชาธิปไตยคืนมาจากกษัตริย์ตั้งแต​่วันที่ 5 เมษายน มีการนัดหยุดงานทั่วประเทศเป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน และจัดการชุมนุมใหญ่ในเมืองหลวงวันที่ 8 เมษายน ตามด้วยการดื้อแพ่งด้วยการหยุดจ่ายภาษี เช่นเดียวกับการประท้วงหลายต่อหลายครั้ง



รัฐบาลได้ประกาศเคอร์ฟิวห้ามไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุม แต่การชุมนุมประท้วงกลับขยายตัวไปตามเมืองใหญ่ๆ ตลอดทั้งเดือน ทำให้รัฐบาลพยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยการใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดสลายการชุมนุมกระทั่ง​มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จำนวนผู้ออกมาประท้วงเฉพาะในเมืองหลวงพุ่งสูงกว่า 300,000 - 500,000 คน

และในวันที่ 21 เมษายนกษัตริย์คยาเนนทราได้มีพระราชดำรัสว่าจะทรงคืนอำนาจบริหารให้แก่ประชาชน และจะจัดการเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด รวมทั้งขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ เสนอชื่อชื่อบุคคลที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มกบฏลัทธิเหมาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว พร้อมกับนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 25 เมษายน

กระทั่งเที่ยงคืนของวันที่ 24 เมษายน กษัตริย์คยาเนนทราได้ยอมประกาศคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านสถานีโทรทัศน์ว่า พระองค์จะฟื้นฟูสภาผู้แทนราษฎรที่ล้มเลิกไปและขอให้พรรคการเมืองทั้ง 7 พรรคกลับมาร่วมรับผิดชอบดูแลประเทศชาติ เพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพของชาวเนปาล ทำให้วันรุ่งขึ้นชาวเนปาลจำนวนมากออกมาชุมนุมแสดงความยินดีต่อชัยชนะของประชาชนตามท้​องถนน

ตลอดการประท้วงใหญ่ 19 วัน มีการปราบปรามโดยกองกำลังรัฐบาลจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน และผู้บาดเจ็บนับพันคน ด้วยเหตุนี้ระหว่างประท้วงจึงทำให้มวลชนตามท้องถนนเผาหุ่นของกษัตริย์และประณามกษัตร​ิย์คเยนทราว่าเป็น ?ฆาตกร?


ชาวเนปาลออกมาเต้นรำเฉลิมฉลองการที่รัฐสภาลงมติยกเลิกระบบกษัตริย์ สิ้นสุดราชวงศ์ชาห์อายุยาวนาน 240 ปี และเปิดศักราชใหม่ของระบบสาธารณรัฐ เมื่อ28พ.ค.2551



ภายหลังจากที่สภาถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ นายกิริยา ปราสาท กัวราลา อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคคองเกรสเนปาล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว โดยเขาสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งคณะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามข้อเรียกร้องของประชาช​น

ต่อมาอดีตรัฐมนตรี 5 คนที่ทำงานให้กษัตริย์คยาเนนทราก็ถูกจับกุม และสอบสวนกรณีใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย นอกจากนี้รัฐบาลชุดใหม่และสภาผู้แทนราษฎรยังได้ดำเนินการลดทอนพระราชอำนาจอย่างต่อเน​ื่องทำให้ฐานะของสถาบันกษัตริย์เนปาลกลายเป็นประมุขของประเทศแต่ในทางพิธีกรรม (Ceremonial Monarchy) เท่านั้น เช่น ห้ามมิให้กษัตริย์มีอำนาจสั่งการกองทัพอีกต่อไป ทั้งนี้กองทัพเคยมีบทบาทในการช่วยกษัตริย์คยาเนนทรายึดอำนาจด้วยการกราบบังคมทูลเชิญ​กษัตริย์คยาเนนทราขึ้นสู่อำนาจการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การจับนายกรัฐมนตรีและผู้นำพรรคการเมืองต่างๆ ในขณะนั้น มีการเปลี่ยนชื่อกองทัพจากกองทัพในพระมหากษัตริย์เนปาล (Royal Nepalese Army) มาเป็นกองทัพแห่งชาติเนปาล (Nepalese Army)

แถมเพลงชาติเนปาลซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขึ้นต้นในทำนองว่า ?ขอพระบารมีปกเกล้า, เป็นขวัญอธิปไตย เธอชาวเนปาลผู้กล้า มีมหาราชาธิราชเป็นกษัตริย์ของเรา...? ก็ถูกเปลี่ยนอีกด้วย

ที่สำคัญหลังการประท้วงครั้งใหญ่ในเดือนเมษายนก็ทำให้กษัตริย์คยาเนนทราก็ไม่ค่อยปรา​กฏพระองค์ในสถานที่สาธารณะ รถนำขบวนพระราชวงศ์ซึ่งการเสด็จครั้งหนึ่งต้องปิดถนน และทำให้รถติดในเมืองหลวงเป็นกินนานหลายชั่วโมง รวมทั้งการเสด็จแปรพระราชฐานไปยังชนบทด้วยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งก็ถูกยกเลิก

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการโดดเดี่ยวกษัตริย์คยาเนนทรา ในงานเฉลิมพระชนมพรรษา ก็ไม่มีเด็กนักเรียนเป็นจำนวนมาก มาร่วมงานฉลองเหมือนอย่างเคย แถมรัฐมนตรีในรัฐบาลก็ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว

ที่สุดแล้วรัฐสภาเนปาลได้ประกาศยกเลิกระบบกษัตริย์ลงอย่างเด็ดขาด และเปลี่ยนประเทศเป็นระบบสาธารณรัฐ และยื่นคำขาดให้อดีตกษัตริย์ทรงออกจากพระราชวัง เพื่อนำไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวเนปาล

ในที่สุดนายคยาเนนทรา อดีตกษัตริย์เนปาลได้ออกจากพระราชวังในวันที่ 11 มิถุนายน 2551 โดยนั่งมาในรถเมอร์ซีเดสเบ๊นซ์กับนางคยาเนนทรา ภรรยาของเขา โดยมีชาวเนปาลที่โกรธแค้นกรูเข้าไปห้อมล้อมรถ ที่ไม่มีขบวนนำยาวเหยียดออกจากพระราชวังไป โดยทหารมากั้นไว้พอเป็นพิธี และให้รถยนต์คันนั้นเคลื่อนออกไปได้

และจะไม่ได้กลับมาในพระราชวังกาฎมาณฑุอีก...ตลอดกาล.

********************************************************
จาก http://www.internetfreedom.us/thread-17228.html
เพื่อการเรียนรู้ชีวิต
********************************************************
********************************************************

เนปาลที่ใฝ่ฝัน นับถอยหลังรอคอย

เนปาลที่ใฝ่ฝัน นับถอยหลังรอคอย (Rerun)
http://www.internetfreedom.us/thread-17407.html
--------------------------------------------------------------------------------

ราชาเจ้าสำราญ : ชาร์ลส์ที่ ๒ แห่งอังกฤษ

http://www.vcharkarn.com/varticle/395/2


หน้าที่ 2 - สงครามกลางเมือง และ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์

ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นพงศาวดารจีน เง็กเซียนฮ่องเต้ได้ส่งดาวร้ายดวงหนึ่งลงมาจุติเพื่อให้ล้มล้างฮ่องเต้โดยเฉพาะ ดาวร้ายดวงนั้นเป็นชายชาวบ้านธรรมดาๆ ชื่อ โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ เขานับถือคริสตศาสนานิกายพิวริตัน

พิวริตันเป็นนิกายที่เคร่งครัดเข้มงวดในการใช้ชีวิต หนักข้อกว่านิกายอื่นๆ ไม่นิยมความบันเทิงทางโลกแม้แต่เล็กน้อย เห็นว่าเป็นความฟุ้งเฟ้อไร้แก่นสาร สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบๆสักแต่ว่าใส่พอให้กันหนาว ไม่เอาสวยเอางาม ไม่ชอบแม้แต่การหัวเราะยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องวางหน้าเคร่งขรึม ผมเผ้าก็ตัดสั้นง่ายๆให้สะดวก ไม่ต้องให้รับกับหน้า จนเรียกกันว่า "พวกหัวกลม" พวกนี้อดทนและติดดินมาก

ในช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอและแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย สถานการณ์ก็สร้างวีรบุรุษอย่างโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ขึ้นมาจนได้ เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างพระเจ้าชาร์ลส์ฝ่ายหนึ่งและรัฐสภาอีกฝ่ายหนึ่ง ปะทะกันขึ้นขั้นแตกหัก พระเจ้าชาร์ลส์และกำลังพลของขุนนางที่ภักดีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กองทัพรัฐสภานำโดยชาวบ้าน​อย่างครอมเวลล์

พระองค์ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ทรยศต่อแผ่นดิน และถูกสำเร็จโทษด้วยการตัดพระเศียร วิธีการประหารก็คือมี "ตะแลงแกง" หรือสถานที่ประหาร เป็นยกพื้นสูงให้คนเห็นกันทั่วๆ นักโทษถูกมัดมือไพล่หลัง คุกเข่า แล้วจับให้ก้มลงเอาคอพาดบนแผ่นไม้ ไม่ให้กระดุกกระดิก

ในตอนไต่สวน พวกลูกขุนพยายามเคี่ยวเข็ญให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ รับสารภาพผิด อาจจะได้บรรเทาโทษแต่ก็ไม่ทรงยอมท่าเดียว เพราะถ้ายอมสารภาพผิดก็เท่ากับยอมรับว่าทรงเป็นผู้ทรยศต่อแผ่นดิน เพราะฉะนั้นตายก็เป็นตาย

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ ทรงดำรงขัตติยมานะไว้ได้อย่างสงบเยือกเย็นน่าชมเชยเมื่อเสด็จขึ้นสู่ตะแลงแกง ทรงถามเพชฌฆาตอย่างสงบว่า
"ผมของเราเกะกะขวานของเจ้าหรือเปล่า"
เพราะทรงไว้พระเกศายาว เวลาก้มลงให้ฟัน กลุ่มผมหนาๆที่ปกคลุมคออาจจะทำให้ขวานฟันไม่ขาด เมื่อเพชฌฆาตอยากให้รวบพระเกศาขึ้นไปใต้หมวกให้หมด ก็ทรงรับหมวกแก็ปจากบิชอปที่ตามขึ้นมาทำพิธีทางศาสนาให้เป็นครั้งสุดท้ายมาสวม แล้วรวบพระเกศาเข้าไปเก็บไว้ใต้หมวก ทรงทำสัญญาณด้วยพระหัตถ์ให้เพชฌฆาตลงขวานได้ เพียงครั้งเดียวพระเศียรก็ขาดกระเด็น เพชฌฆาตชูพระเศียรขึ้นให้เห็นโดยทั่วกัน ส่วนพระวรกายถูกนำไปวางลงในโลงศพ คลุมด้วยกำมะหยี่เพื่อจะนำไปฝังต่อไป

การประหารชีวิตของไทยและอังกฤษทำเหมือนกันจนถึงรัชกาลที่ ๕ คือเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มาดู ราวกับมหกรรมดนตรี พอฟันคอขาด ก็เหมือนกันอีกคือผู้หญิงเป็นลมเป็นแล้งกันไป ส่วนของไทยคนที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อดูให้ถนัด ก็หน้ามืด มือเท้าอ่อน ร่วงลงมาเป็นแถว

พระเจ้าชาร์ลส์มีพระโอรสธิดาหลายองค์ องค์ใหญ่สุดที่มีพระชนม์รอดมาได้จนเป็นหนุ่ม คือเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์พระเอกในเรื่องนี้ ทรงได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) หรือตำแหน่งรัชทายาทของอังกฤษ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เข้าร่วมรบกับกองทัพพระบิดาตั้งแต่ทรงอยู่ในวัยรุ่น แค่ชันษา ๑๕ ปี ในศึกที่เรียกว่า Battle of Edgehill ทางตะวันตกของประเทศ

แต่เมื่อสงครามกลางเมืองรุนแรงขึ้น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ก็จำต้องลี้ภัยออกนอกประเทศเพื่อความปลอดภัย เมื่อพระชนม์ ๑๖ เท่านั้นเอง ตอนที่พระเจ้าชาร์ลส์ถูกจับและถูกตัดสินประหาร เจ้าฟ้าชายทรงพยายามดิ้นรนทุกทางเพื่อรักษาชีวิตพระบิดาให้รอด ทรงยอมแม้แต่ลงพระนามในสัญญากระดาษเปล่าส่งให้ฝ่ายครอมเวลล์ เป็นการยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข คือจะให้ทรงทำอะไรก็ยอมทั้งสิ้น ขอแลกกับชีวิตพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑

ความพยายามทุกอย่างล้มเหลว พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ ถูกสำเร็จโทษ ระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้างลงนับแต่นั้น ราชอาณาจักรอังกฤษเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ เรียกว่า Commonwealth ส่วนโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ไม่ได้สถาปนาตัวเขาเองเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ตำแหน่ง Lord Protector หรือ ท่านผู้พิทักษ์แผ่นดิน ก็มีอำนาจเด็ดขาดยิ่งกว่าราชาเสียอีก

เมื่อเจ้าฟ้าชาร์ลส์ทรงลี้ภัยออกจากอังกฤษในครั้งแรก พระชนม์แค่ ๑๘ ทรงเร่ร่อนไปหลายเมืองในยุโรปแบบไม่มีอะไรจะทำ ฐานะก็ลำบากยากจน เพราะไม่มีใครอุปถัมภ์เรื่องเงินๆทองๆ รวมทั้งพระเจ้าลุง กษัตริย์ฝรั่งเศส

เวลาว่างของชายหนุ่มวัย ๑๘ ที่ปราดเปรียวอย่างเจ้าชาย จะมีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเรื่องผู้หญิง ก็เลยทรงได้สาวอังกฤษที่เป็นชาวบ้านหน้าตาสะสวยวัยเดียวกันกับพระองค์ ชื่อ ลูซี วอลเตอร์ มาเป็นพระสนมคนแรก ส่วนที่ว่าพบกันตั้งแต่อยู่ในอังกฤษหรือไปพบกันในยุโรป ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เอาเป็นว่าเมื่อประทับอยู่ที่กรุงเฮก ก็มีพระสนมเรียบร้อยแล้ว

ลูซีให้กำเนิดโอรสนอกกฎหมายคนแรกเมื่อเจ้าฟ้าชายมีพระชนม์ ๑๙ เด็กชายคนนั้น ต่อมาเมื่อพระบิดาได้ครองราชย์ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น ดยุค ออฟมอนมัธ

ชีวิตของเจ้าชายและลูซีเริ่มต้นเหมือนตำนานรักดอกเหมย ประเภทฟันฝ่าฐานันดรรัก จนครองคู่กันได้ แต่ตอนจบกลับตรงกันข้าม ทั้งที่ลูซีก็ดูว่ารักใคร่เจ้าชายของหล่อนเป็นอันดี มีทั้งโอรสและธิดาอยู่เคียงข้างกันไม่ห่าง

ต่อมาหนึ่งปีหลังจากนั้นเจ้าชายมีเหตุที่จำเป็นต้องเดินทางไกล ทรงจำต้องทิ้งพระสนมและลูกน้อยเอาไว้ที่กรุงเฮก ลูซีเป็นข้อพิสูจน์ของ "สามวันจากนารี...เป็นอื่น" เมื่อเจ้าชายไม่อยู่ หล่อนก็หันไปมีกิ๊กเป็นนายทหารคนหนึ่งแทน

เจ้าชายเสด็จกลับมาพบว่าพระสนมมีชู้ไปแล้ว ก็มิได้ลงพระอาญาอย่างใด เพียงแต่เลิกกับหล่อนอย่างเด็ดขาด ชีวิตของลูซีก็เลยตกต่ำลงนับแต่นั้น กลายเป็นโสเภณีและสิ้นชีวิตลงด้วยกามโรคในอีก ๘ ปีต่อมา


หน้าที่ 3 - กษัตริย์ไร้บัลลังก์

เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไม่อาจจะขึ้นเป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒ แห่งอังกฤษได้โดยอัตโนมัตินับแต่พระบิดาสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เพราะไม่มีราชบัลลังก์อังกฤษรองรับอยู่อีกแล้ว แต่ก็ไม่เคราะห์ร้ายถึงขนาดเป็นเจ้าไม่มีศาล เพราะว่าสกอตแลนด์ได้ยอมรับนับถือราชวงศ์สจ๊วตมาแต่แรก ถึงไม่ได้ครองอังกฤษ ก็ทรงได้เป็นราชันย์แห่งสกอตแลนด์ และบางส่วนของอังกฤษและไอร์แลนด์ โดยมีพระราชพิธีราชาภิเษกที่เมืองสกูน เมื่อพระชนม์ได้ ๒๑ ปี

ในพระทัย พระราชาหนุ่มยังคงครุ่นคิดถึงราชบัลลังก์อังกฤษอยู่ไม่ขาด ทรงถือว่าโอลิเวอร์ ครอมเวลล์คือโจรปล้นสิทธิ์อันชอบธรรมไปจากพระองค์ สองปีต่อมา ทรงรวบรวมนายทหารและไพร่พลชาวสกอต ตลอดจนกลุ่มขุนนางรอยัลลิสต์ผู้ภักดีต่อกษัตริย์ ยกพลเข้าโจมตีอังกฤษเพื่อจะกำจัดครอมเวลล์ออกไป ศึกครั้งนี้แม้ว่าพวกสกอตรบอย่างทรหด แต่ด้วยความเสียเปรียบด้านกำลังพล และชั้นเชิงการรบอีกหลายๆอย่าง กองทัพของครอมเวลล์ซึ่งเหนือกว่า เป็นฝ่ายบดขยี้ทัพสกอตแตกพ่าย

ขุนนางรอยัลลิสต์เกือบทั้งหมดเอาชีวิตมาทิ้งในสมรภูมิที่วูสเตอร์( Worcester ) อีกส่วนหนึ่งถูกจับกุม และเหลือไม่กี่คนที่รอดไปได้ พระราชาชาร์ลส์ เป็นหนึ่งในผู้รอดตายไปได้ แต่ก็ต้องหลบหนีแทบจะเอาชีวิตไม่รอด อาศัยคนอังกฤษที่จงรักภักดี ทั้งขุนนาง และชาวบ้านสามัญที่ไม่เคยเห็นด้วยกับครอมเวลล์ แต่ไม่มีปากเสียงจะคัดค้าน พวกเขาพากันช่วยเหลือคนละไม้คนละมือ พาพระองค์ซ่อนให้รอดจากเงื้อมมือของทหารฝ่าย ครอมเวลล์ ทั้งที่รู้ว่าโทษของการช่วยเหลือก็คือตายสถานเดียว

พระราชาทรงใช้เวลาถึง ๔๕ วันหลบซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ เช่นในห้องใต้หลังคา บนต้นไม้ หลบจากบ้านหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ลำบากระหกระเหิน กว่าจะข้ามฟากออกจากอังกฤษไปยุโรปได้สำเร็จ อย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัว อีกครั้งหนึ่งที่ทรงเร่ร่อนไปตามประเทศต่างๆ ปราศจากผู้สนใจไยดีพระราชาผู้ไร้บัลลังก์

หลังชัยชนะฝ่ายนิยมกษัตริย์ที่วูสเตอร์ ครอมเวลล์ก็ได้ครองอำนาจต่อมาอย่างไร้ผู้ต้านทานได้อีกเป็นเวลานานหลายปี ความเหิมเกริมในอำนาจทำให้เขากลายเป็นผู้เผด็จการ เขาทำสิ่งที่หนักข้อกว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ ทำหลายเท่า เช่นเมื่อถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคัดค้านเขาก็ยุบสภาเอาดื้อๆ ตั้งสภาใหม่ที่ล้วนแล้วไปด้วยลูกน้องสอพลอประจบประแจง ว่าไงว่าตามกัน

ครอมเวลล์ลักลอบขายพระราชทรัพย์ของหลวงที่เก็บไว้ใน Tower of London นำเงินไปใช้เพื่อบำรุงอำนาจส่วนตัว ถลุงเงินในท้องพระคลังแทบจะเกลี้ยง ทำสงครามกับเนเธอร์แลนด์ ๒ ครั้ง เปลืองเงินทอง ผลักภาระด้านภาษีให้ประชาชนแบก แทบโงหัวไม่ขึ้น ครอมเวลล์ห้ามแม้แต่ความสนุกสนานร่าเริงทั้งหมดในประเทศ ประชาชนถูกห้ามฉลองคริสต์มาส แต่ถูกบังคับให้ถือศีลอด ในวันนั้น

แม้แต่ทหาร เมื่อพ้นประจำเวรยามกลับบ้านก็ต้องกลับมานั่งสวดมนต์ที่บ้าน จะไปเฮฮากันไม่ได้ ชาวบ้านผิวปากร้องเพลงดังๆก็ไม่ได้ ต้องสวดมนตร์แทนบ้านเมืองมีแต่ความตึงเครียด ปีแล้วปีเล่าผู้คนรู้สึกตกต่ำและสิ้นหวัง
-----------------------------------------------
ทางฝ่ายพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒ ช่วงชีวิตนับแต่พ่ายแพ้ศึก เป็นช่วงตกระกำลำบากอย่างยากจะเชื่อว่าเกิดขึ้นได้กับผู้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทรงยากไร้สิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อบากหน้าไปพึ่งฝรั่งเศส สังฆราชมาซาแร็งอัครมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจตัวจริงแทนพระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๓ ก็รังเกียจเดียดฉันท์ขับไล่ ทรงลี้ภัยไปประเทศอื่นๆในยุโรป ผู้นำก็หวังประจบเอาใจผูกมิตรกับครอมเวลล์เพื่อประโยชน์ทางการค้า จึงพากันขับไล่ไสส่งราชาไร้บัลลังก์ จะทรงหมายปองเจ้าหญิงองค์ไหน พระบิดามารดาก็ทรงรังเกียจไม่ยอมยกลูกสาวให้ราชาที่ไร้เงินทองและตำแหน่ง

เวลาผ่านไปหลายปี เงินทองที่ได้เล็กๆน้อยๆจากพระน้องนาง เจ้าฟ้าหญิงแมรี่ที่เป็นราชินีม่ายแห่งฮอลแลนด์ก็ขาดแคลนลงทุกที เพราะประชาชนชาวดัทช์พากันต่อต้านไม่ยอมให้ส่งเสีย เจ้าชายกับข้าราชบริพารผู้ภักดีไม่กี่คนอยู่ในฐานะยากจนเกือบเท่าขอทาน ของเสวยก็มีแต่กระหล่ำปลีราคาถูก และเนื้อจวนเน่า เอามาต้มกินประทังชีวิต เช่าห้องเช่าเล็กๆโทรมๆ ที่เจ้าของห้องทวงแล้วทวงอีก เป็นหนี้เป็นสินแม้แต่ค่าอาหาร

----------------------------------------------
จาก http://www.internetfreedom.us/thread-17228.html
เพื่อการเรียนรู้ชีวิตเท่านั้น
---------------------------------------------

เทวดามีจริงหรือ ฉีกหน้ากากเทวดา

เทวดามีจริงหรือ ? + ฉีกหน้ากากเทวดา
กระทู้เก่าที่น่าสนใจจากเว็บบอร์ดประชาไท
ID # 683263 - โพสต์เมื่อ : 2008-04-21 15:01:11 _ แจ้งลบข้อความ แก้ไข
กษัตริย์จะต้องมีทศพิธราชธรรมและปกครองแผ่นดินโดยธรรม หากผิดจากนี้ประชาชนก็มีสิทธิปลดได้โดยสภาผู้แทน!

ผมขออนุญาตนำเอากระทู้นี้มาแสดงใหม่ เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจได้วิเคราะห์และวิจารณ์ด้วยเหตุด้วยผลเพื่อ​ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคงต่อไป

สืบเนื่องมาจากกระทู้

ภาพ+เสียง พี่แว่นถวายฎีกา ค้านพล.อสุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี ที่พระบรมมหาราชวัง
http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=683150

และได้มีการโต้ตอบกันระหว่างคุณหนูนาและผมดังคำอ้างอิงข้างล่างนี้

โพสต์โดย : หนูนาเองค่ะ (บุคคลนิรนาม)
IP : 124.121.48.190
ID # 697198 - โพสต์เมื่อ : 2008-04-20 17:19:27 _ แจ้งลบข้อความ


เขาจะฟ้องใครหรือคะ หรือว่าฟ้องในหลวง หนูนาคิดว่าทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องฉลาดและโง่เขลาอย่างมากที่ทำเช่นนี้ค่ะ การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะอ้างเหตุอันใดเพื่อไปฟ้องพระองค์ท่านคงไม่ได้หรอกค่ะ รัฐธรรมนูญก็มีระบุไว้อยู่แล้ว หมวด 2 มาตรา 8 ไงคะ บทที่ว่าด้วยองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆมิได้ การที่มีผู้ไปยื่นถวายฎีกา ต่อสำนักราชเลขาธิการ เช่นนี้ ก็ผิดเต็มประตูอยู่แล้วล่ะค่ะ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ในหมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ก็ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งได้อ่านเรื่องที่ยื่นเข้าไปก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเป็นการกล่าวหาว่าในหลวงทรงไร้สติสิคะ
ที่ทรงแต่งตั้งองคมนตรีทุกท่านดังกล่าว องคมนตรีทุกท่านในหลวงทรงแต่งตั้งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย มาตรา 13 (หมวด 2) แล้วมีมาตรา 8 (หมวด 2) คุ้มครองอีกชั้น อิ อิ หนูนาคิดว่าคุณคนที่ไปยื่นถวายฎีกา คงต้องผิดหวังแถมยังอาจโดนฟ้องข้อหาหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 8 (หมวด 2) และหากมีประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันออกมาเอาเรื่องโดยการไปแจ้งความหมิ่นเบื้องสู​ง โดยใช้ข้อกฏหมายในรัฐธรรมนูญมาตรา 70 (หมวด 4) ที่ว่าด้วยบุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ นี่เป็นเรื่องที่วิเศษสุดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้และทุกๆฉบับที่ได้ระบุหมวดของพระมหากษ​ัตริย์ บรรจุไว้ได้อย่างแยบยล เพราะเป็นสิ่งที่คนไทยที่รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ทุกคนต้องทะนุบำรุงให้อยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยเหตุผลใดๆที่อ้างกันไปม​า ขนาดมีรัฐธรรมนูญคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ยังมีคนที่คิดจะทำเรื่องแบบนี้ หากมีคนคิดจะยกเลิกหมวดพระมหากษัตริย์แล้วนั้น หนูนาไม่อยากคิดเลยค่ะ ว่าสถาบันนี้จะต้องประสบกับชะตากรรมเช่นไร ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิและพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองให้ประเทศไทยอันเป็นที่รักของชาว​ไทยทุกๆท่านอยู่รอดปลอดภัยจากกลุ่มคนที่มุ่งร้ายต้องประเทศและสถาบัน ค่ะ.

****************************************************

โพสต์โดย : ปัญญาคืออาวุธ
ID # 697211 - โพสต์เมื่อ : 2008-04-20 17:41:03 _ แจ้งลบข้อความ แก้ไข

คุณ หนูนาเองค่ะ หน้ามืดตามัวจนไม่สามารถแยกแยะความถูกผิด และความถูกต้องชั่วดีไปแล้วหรือครับ กษัตริย์จะต้องมีทศพิธราชธรรมและปกครองแผ่นดินโดยธรรม หากผิดจากนี้ประชาชนก็มีสิทธิปลดได้โดยสภาผู้แทนราษฎรเช่นกัน ตอนนี้ผู้ที่ยื่นก็ทำด้วยความชอบธรรมและมีเหตุผล ปล่อยให้ท่านพิจารณาเองจะไม่ดีกว่าหรือ ว่าจะอยู่ฝ่ายประชาชนหรือฝ่ายที่กบฏตั้งขึ้น

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โพสต์โดย : ปัญญาคืออาวุธ
ID # 697262 - โพสต์เมื่อ : 2008-04-20 18:36:47 _ แจ้งลบข้อความ แก้ไข


ที่ว่าตีรวนเพราะคุณไม่อ่านจุดที่ผมแสดงแต่ก่อนนี้(ดูข้างล่าง) จึงอ้างโน่นอ้างนี่ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านต้องมีพระราชวินิจฉัยตามเสียงเรียกร้องของประชาชน แม้ว่าจะมีคนค้านแค่เพียงคนเดียว แต่ถ้ามีเหตุมีผลเพียงพอ ท่านก็ต้องเปลี่ยน เพราะคนที่หมองมัว ไม่สมควรแก่ตำแหน่งแต่อย่างไร

ผมจึงนำเอาประโยค "กษัตริย์จะต้องมีทศพิธราชธรรมและปกครองแผ่นดินโดยธรรม หากผิดจากนี้ประชาชนก็มีสิทธิปลดได้โดยสภาผู้แทนราษฎรเช่นกัน" มาตั้งเป็นกระทู้ด้วยเหตุผลดังนี้

ท่านที่ศึกษาประวัติศาสตร์สมัย ร.8 จะทราบดีว่า ดร.ปรีดี พนมยงค์ อาศัยอำนาจสภาแต่งตั้ง ร.8 ตามหลักการที่มีในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ๒๔๗๕ และโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาล พุทธศักราช ๒๔๖๗ (ปรีดี พนมยงค์ กับสถาบันกษัตริย์และกรณีสวรรคต โดย สุพจน์ ด่านตระกูลhttp://www.pridiinstitute.com/autopage/s...d=5&d_id=8 รวมทั้ง ร.9 ด้วย สมัยร.9 นี้ ท่านตรัสคำที่ใคร ๆ ก็จำได้ว่า "จะปกครองแผ่นดินโดยธรรม" (จริง ๆ แล้ว ท่านไม่มีอำนาจปกครองแต่อย่างไร แต่ประชาชนถือว่าให้เกียรติท่านในฐานะที่ท่านเป็นประมุขซึ่งต้องอยู่ในทศพิธราชธรรม)​ ทำให้ประชาราษฎร์ต่างปลาบปลื้มยินดีที่มีกษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม
แต่หลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 ประชาชนต่างสงสัยว่าเหตุใดท่านจึงทรงลงพระนามเห็นด้วยกับโจรกบฏทรราชเผด็จการรัฐประห​าร แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีที่มีปัญหาเรื่องเขายายเที่ยงที่โจรกบฏเสนอ แสดงความชื่นชมรัฐบาลขิงแก่ของโจรกบฏ ตรัสสนับสนุนให้ทหารที่สมคบกันก่อการกบฏว่ามีงบเพียงพอให้ซื้ออาวุธก็ซื้อเสีย แทนที่จะเอาไปพัฒนาประเทศด้าน อื่น ๆ ที่สำคัญและจำเป็นมากกว่า ฯลฯ ท่านทำตรงกันข้ามกับหลักการประชาธิปไตยที่สังคมโลกยอมรับและคำสัญญาที่ได้ให้ไว้แต่เ​ดิม จนบ้านเมืองปั่นป่วนไปหมด หลักนิติศาสตร์และกระบวนการยุติธรรมทั้งหลายสั่นคลอน ปราศจากความน่าเชื่อถือ มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับโจรกบฏเพื่อเล่นงานคนบางคนและพรรคการเมืองบางพรรคอย่างเห็นไ​ด้ชัดเจน ซึ่งประชาชนทั้งหลายทราบดี เพราะปัญหาต่าง ๆ นี้ กำลังรุมเร้าจนอาจเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นอีกเมื่อไรก็ไม่มีใครทราบได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงนี้ ทำให้ประชาชนทั้งหลายเสื่อมเสียเกียรติภูมิที่เคยมีอยู่(ถูกโจรกบฏปล้นอำนาจอธิปไตย ถูกดูถูกดูหมิ่นดูแคลน) ศักดิ์ศรีของคนในชาติถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ ไม่นับความสูญเสียโอกาสและมูลค่าทรัพย์สินส่วนรวมของชาติถูกล้างผลาญอีกมากมายมหาศาล​จนยากแก่การที่จะประเมินได้
ทุกวันนี้ เราต่างเรียกร้องให้ผู้นำในคณะรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทั้งหลาย ต้องมีการถูกตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และความมีจริยธรรมคุณธรรมเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันไม่ให้เกิดการโกงหรือใช้ตำแหน่งในทางไม่ชอบ แต่เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้กับประมุขได้ตามอย่างที่คุณหนูนาเองคะได้ให้ความเห็นเอ​าไว้ แต่ผมก็ยังจะยืนยันสิทธิที่จะถวายฎีกาเพื่อเรียกร้องขอตำตอบที่ชอบด้วยเหตุผลจากท่าน​ประมุขในกรณีที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นร่วมกับกรณีการถวายฎีกา คัดค้านพล.อสุรยุทธ์ เป็นองคมนตรี

จาก http://www.internetfreedom.us/thread-17228.html
เพื่อการเรียนรู้ชีวิต

น้ำตาไหลอาบแก้ม..

เสียงบอกอาจารย์สุรชัย จากเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ

ข้าพเจ้า นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ อายุ 69 ปี
ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ(ทำบายพาส 7 ปี)
ระบบขับถ่ายไม่ปกติ ถ้าหากข้าพเจ้าเสียชีวิตในคุก ข้าพเจ้าขอให้ทำ ดังนี้

1. ไม่มีการเผาศพจนกว่าประชาชนจะได้รับประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
2. ตระเวนศพของข้าพเจ้าไปทั่วประเทศ
3. ให้มวลชนแต่ละจังหวัดเป็นเจ้าภาพสวดศพ

ลงชื่อ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
31 มีนาคม 54 เวลา 11.15 น.
เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ

----------------------------------------------------
คำความของนักสู้เพื่อประชาธิปไตย
ไอดอลของฉัน ทำให้น้ำตาฉันไหลอาบแก้ม
----------------------------------------------------
















เพราะชื่อกระทู้ค่ะ จึง log in เข้ามา
รู้สึกใจหาย ขนลุก และน้ำตาก็ไหล ..
เสมือนคำสั่งลา..

ต้อง(ยัง)ไม่มีวันนั้นนะคะ..อาจารย์
อาจารย์ต้องได้ร่วมฉลองความสำเร็จกับพี่น้องเสื้อแดงก่อน


ดิฉันเพิ่งไปเยี่ยมท่านอาจารย์สุรชัยมา เมื่อวันอังคารที่ 29 ที่ผ่านมา
ตอนแรกไปรอให้กำลังใจอาจารย์ที่ศาลรัชดา ไปรอแต่มืด
มีเพื่อนๆ เสื้อแดงไปเยอะอยู่ค่ะ ต่างจับกลุ่มคุยกัน
เพราะไม่มีวี่แววว่าอาจารย์จะมาขึ้นศาล
ทั้งข้อมูลรายชื่อจากป้ายประกาศต่างๆก็ไม่มี ทั้งด้านหน้าและด้านหลังศาล
ในที่สุดก็รับทราบว่าเป็นไปตามเกมที่ฝ่ายอำมาตย์กำหนด
พวกเราจึงพากันมาเยี่ยมท่านที่เรือนจำแทน..

ตอนแรกก็รู้สึกหดหู่ใจ (ก่อนจะพบกับอาจารย์)
แต่เมื่อพวกเรา (คณะใหญ่เชียวหละ และดิฉันก็ไม่ได้รู้จักใครเป็นส่วนตัว)
ต่างเบียดเสียดกันเข้าไปในห้อง 8 กับ 9 (ดูจากป้ายติดผนังห้อง)
ความรู้สึกดีใจเข้ามาแทน เพราะท่านอาจารย์ยิ้มแย้มแจ่มใส
ใบหน้าดูสดใสกว่าช่วงที่ท่านเดินสายให้ความรู้กับพี่น้องเราเสียอีก
คงเพราะท่านได้พักผ่อนมากขึ้น

พวกเราผลัดเปลี่ยนกันตั้งคำถามพูดคุยกับท่าน
อาจารย์สบายดีไหมคะ..
ทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้ขึ้นศาลวันนี้คะ..
อาจารย์ใส่เสื้อเหลืองเท่จัง..
อาจารย์เมื่อไหร่จะได้ออก จะไปเรียนกับอาจารย์ (ผู้ชายคนหนึ่งถาม)
อธิการบดีมาอยู่ในคุกซะละ..(ได้ฮากันด้วย อาจารย์ก็พลอยได้ ฮ่าๆๆๆ ไปด้วย)
บางคำถามท่านก็ตอบสั้นๆ บางคำถามก็อธิบายอย่างยาว บางคำถามท่านก็เพียงอมยิ้มเท่านั้น

ทุกคำพูดของอาจารย์ยังคงแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
อาจารย์ย้ำให้พวกเราไปเลือกตั้ง
และย้ำเรื่องแนวทางการต่อสู้ เหมือนที่ท่านเคยปราศรัย
อาจารย์พูดชัดเจนมาก พูดเหมือนบรรยาย
ทุกคนตั้งใจฟัง และดิฉันสังเกตเห็นทุกคนต่างพลอยมีความสุขเมื่อเห็นท่านอาจารย์มีความสุข
ท่านยังสัพยอกว่า "อ้าว ! ข้างหลังใครจะคุยอะไรอีก"
มีหลายคนบอกว่า "อยากฟังอาจารย์คุยครับ"

ตอนแรกท่านก็ใช้โทรศัพท์พูด แต่หลายคนบอกว่าไม่ต้องใช้ พวกเราจะได้ฟังอย่างทั่วถึง อาจารย์ก็ตามใจ

ดิฉันมีความรู้สึกเป็นสุขตลอดวันนั้น ในขณะที่เดินทางกลับบ้าน ซึ่งอยู่ไกลมากกว่า 800 กิโล
ท่านเป็นไอดอลของดิฉัน ใครบ้างทำได้เช่นท่าน
อยู่ในคุกตั้ง 16 ปี ยังยอมสละตัวเองได้อีก เพื่อแลกกับประชาธิปไตย (เหมือนไม่เข็ด น้อมคารวะน้ำใจท่านจริงๆ)

ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก และคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
โปรดดลบันดาลคุ้มครองท่านอาจารย์สุรชัย ให้ท่านปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บและภยันตรายทั้งปวงด้วยเถิด คนดีๆเช่นท่านควรได้รับผลแห่งการทำดีตอนแทน

***เรื่องอาหารการกินและยาของท่านอาจารย์ มีทีมงานที่คอยดูแลอยู่ (รู้สึกดีมากๆค่ะ พลอยโล่งโปร่งใจ )
ดิฉันรู้สึกอิ่มใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสมทบทุนค่าอาหารกลางวันสำหรับท่านอาจารย์ด้ว​ย

*************************************************************
ความในใจของฉัน..ต่อยอดคน ยอดวีรบุรุษนักสู้
*************************************************************

ไม่มีเลือกตั้งในสถานการณ์เปลี่ยนผ่าน

เพราะต่างฝ่ายต่างก็มุ่งที่จะเป็นฝ่าย "กำหนดทิศทางแห่งการเปลี่ยนผ่าน" นี้

มีแต่ความพยายามที่จะทำให้ฝ่ายตนสามารถ "ยึดกุมสภาพ" ให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเท่านั้น

แล้ว "วิธีการ" ใดล่ะ?...ที่จะทำให้แต่ละฝ่ายสามารถยึดกุมสภาพได้อย่างเบ็ดเสร็จ

เลือกตั้งอย่างนั้นหรือ?...

"สถานการณ์พิเศษ" ต้องใช้ "วิธีพิเศษ" เท่านั้น









(1)

เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปแล้วว่า
บ้านเมืองเราในปัจจุบันกำลังเป็นช่วงที่เรียกกันว่า “ปลายรัชกาล”
เป็นปลายรัชกาลที่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ อุบัติขึ้นอย่างไม่เป็น “ธรรมชาติ”
ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติเอง แต่ “ผิดธรรามชาติ”
และที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ภายในประเทศ สถานการณ์ตามแนวชายแดน และผลกระทบต่อต่างประเทศ
แต่จากปรากฏการณ์ที่เห็นว่าเกิดความวุ่นวายอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่นี้
เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ “ส่อ” ให้เห็นถึง “ความไม่ปกติ”
ของสิ่งที่เป็น “ศูนย์กลาง” ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้
ซึ่งระดับความไม่ปกติภายในศูนย์กลางจะแสดงออกและส่งผลกระทบมากน้อย
ย่อมขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดของ “วงรัศมี”
วงใดที่เป็น “วงใน” สุดย่อมได้รับผลกระทบมากน้อยลดหลั่นกันไปตามความใกล้ชิดของวงรัศมีนั้น

แต่จากสถานการณ์เปลี่ยนผ่านในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา มีทั้งที่ “ราบรื่น” และ “ไม่ปกติ”
กล่าวคือ หากการเปลี่ยนผ่านในยุคสมัยใดที่เป็นไปอย่างราบรื่น
สถานการณ์ต่าง ๆ ภายในประเทศจะแสดงออกมาในรูปแบบของบรรยากาศภายในประเทศที่ ”เศร้าสร้อยอย่างดื่มด่ำ”
หมายความถึงความเศร้าสร้อยอาลัยรักต่อยุคสมัยที่กำลังจะจากไป แต่มีความหวังอันเรืองรองรออยู่ในยุคสมัยหน้า
บรรยากาศภายในประเทศจึงเป็นความเศร้าแต่ทว่าเต็มไปด้วยอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่รออยู่
แต่เมื่อใดก็ตามหากสถานการณ์ภายในประเทศเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม รุนแรง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ก็จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าได้เกิดความไม่ปกติขึ้นแล้วใน "ศูนย์กลาง" ท่ามกลางแห่งสถานการณ์เปลี่ยนผ่านนี้
และการที่จะทำให้รู้ถึง “เหตุ” แห่งความไม่ปกตินี้ ต้องมองไปที่เบื้องหลังของเบื้องหลังในแต่ละเหตุการณ์
ก็จะทำให้เห็นถึงเงาของผู้ที่อยู่เบื้องหลังของสถานการณ์นั้น ๆ



เรากำลังอยู่ในห้วงสถานการณ์เปลี่ยนผ่านในช่วงปลายรัชกาล...

อันจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์ของบ้านเมืองในอนาคต...

We are in a transition period for the situation at the end of the reign ...

This will lead to uncertainty on the situation of the country in the future ...











(2)
อนาคตประเทศไทยอยู่ที่ไหน?


1. ต้นเหตุของความขัดแย้ง : ความไม่ราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน

2. พัฒนาการของความขัดแย้ง : ความสุดขั้วของสองฝ่าย

3. อนาคตที่จะต้องเผชิญ : สงครามภายใน 2 ครั้งใหญ่

4. ทางออก : ร่วมกันเปลี่ยนผ่านไปสู่รัชสมัยใหม่ด้วยรูปแบบที่เป็นสากลเพื่อกระชับพื้นที่แนวปะทะขยายแนวร่วม

5. บทสรุป : ไม่มีวันที่สังคมไทยจะกลับไปเหมือนเดิม



(3)

1. ต้นเหตุของความขัดแย้ง : ความไม่ราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน

ต้นเหตุของความขัดแย้งในสังคมไทยที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น
หากเพียงแต่มองย้อนไปที่เหตุรัฐประหาร 19กย49 แล้วชี้ว่าเป็น “ต้นเหตุ” ของความขัดแย้งคงจะไม่ถูกต้องนัก
แต่ผลงานและความนิยมในตัวคุณทักษิณและพรรค ทรท ในขณะนั้นนับวันแต่จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่ก็เป็นสาเหตุที่สอดคล้องกัน นั่นก็คือ รัฐบาล ทรท อาจจะอยู่ยาวจนถึงสถานการณ์เปลี่ยนผ่าน
และบารมีที่เพิ่มมากขึ้นตามผลงานที่ชัดเจนของคุณทักษิณทั้งในและนอกประเทศ อาจจะส่งอิทธิพลต่อทิศทางการเปลี่ยนผ่านนี้
ดังนั้น จาก “ความขัดแย้งในสถานการณ์เปลี่ยนผ่าน” จนทำให้เกิดรัฐประหาร 19กย49 มีเหตุมาจากคุณทักษิณสนับสนุนคนที่อำนาจปัจจุบันไม่เห็นด้วย เรียกได้ว่าคุณทักษิณหนุนผิดคน(ไม่ใช่คนผิด) โดยจะเห็นได้จากการที่ Wikileaks ได้นำโทรเลขของสถานฑูตอเมริกาประจำประเทศไทยออกมาเปิดเผย กดที่นี่

จะทำให้ทราบถึงมูลเหตุของความขัดแย้งกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ เป็นความ “ไม่มั่นคง” ของชนชั้นสูงของไทย
ต่อกรณี พฤติกรรม ภาพลักษณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างคุณทักษิณกับ 000 จนนำไปสู่การหาหนทางสำรอง คือ TTT
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่พึ่งจะมาเกิดเอาเมื่อมีรัฐบาลทักษิณ แต่เค้าลางของความไม่ราบรื่นนี้(ไม่ขอกล่าวถึงพฤติกรรมส่วนตัวของว่าที่)
เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เริ่มมีการ “เตรียมการ” ให้เห็นใน รธน17 ม.25, รธน21 ม.20 กล่าวคือ รธน ทั้ง 2 ฉบับอ้างตามกฎมณเฑียรบาล2467 และการแก้ไขกฎมณเฑียรบาลต้องทำเช่นเดียวกับการแก้ไข รธน นั่นก็คือเป็นหน้าที่ของ ครม หรือด้วยสมาชิกสภาฯ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5

ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึง “พัฒนาการ” ในเรื่องของ “พระราชอำนาจ” จากการที่กฎมณเทียรบาลกำหนดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนัดประชุมองคมนตรี ให้มีองคมนตรีมาในที่ประชุมนั้นไม่น้อยกว่า ๒ ส่วนใน ๓ และใช้มติ ๒ ใน ๓ จึงให้แก้ได้ แต่ รธน17-21 กำหนดให้เป็นหน้าที่ของสภาฯ แต่พอมาถึง รธน34 ม.20-21, รธน40 ม.22-23, รธน50 ม.22-23 ก็พบกับความชัดเจนต่อแนวทางการเปลี่ยนผ่านว่า ได้ถูกเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงในด้านตัวบุคคลที่จะมาเป็นตัวแปรนั่นก็คือ พล.อ.เปรม และที่สำคัญคือกำหนดให้การแก้ไขกฎมณเฑียรบาล2467 กลายเป็น “พระราชอำนาจโดยเฉพาะ”
ไม่ต้องใช้คณะองคมนตรีตามกฎมณเฑียรบาล2467 หรือสภาฯ อย่างเช่นใน รธน17-21 อีกต่อไป เรียกได้ว่าเป็นการ “กระชับพระราชอำนาจ” ที่สุด

และ “ปม” ใน ม.13 ของกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์2467 กดที่นี่ ม.13 ได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
“ยังไม่ถึงเวลาอันควรที่ราชนารีจะได้เสด็จขึ้นทรงราชย์” แต่ถ้าสังเกตุว่าใน หมวดที่2 ม.4(2) ได้บรรยายศัพท์เอาไว้ว่า
"สมเด็จพระยุพราช" คือ พระรัชทายาทที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระยุพราช
โดยพระราชทานยุพราชาภิเษกหรือโดยพิธีอย่างอื่นสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
นัยที่สำคัญคือ “พิธีอย่างอื่น” ไปเชื่อมโยงกับการสถาปนาพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์ เมื่อ 5ธค20
“ให้ทรงรับพระราชบัญชาและสัปตปฎลเศวตฉัตร (เศวตฉัตร 7 ชั้น)” กดที่นี่
และคำว่า “สัปตปฎลเศวตฉัตร หรือ เศวตฉัตร 7 ชั้น” นี้ ทรงความหมายอย่างยิ่ง เพราะสัปตปฎลเศวตฉัตรนี้ กดที่นี่
ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้รับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนก สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราช สมเด็จพระบรมราชกุมารี พระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระราชทานเป็นพิเศษ

นัยอยู่ที่ “สมเด็จพระยุพราช” ซึ่งถ้าใช้กับสมเด็จพระยุพราช จะเรียกว่า "พระบวรเศวตฉัตร"
และ สัปตปฎลเศวตฉัตร มีนัยเกี่ยวเนื่องไปที่ หมวดที่2 ม.4(2) ในกฎมณเฑียรบาล2467
“หรือโดยพิธีอย่างอื่นสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ”

เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเตรียมการว่าได้เกิดขึ้นมานานแล้ว จนอาจจะทำให้ “ว่าที่” เกิดอาการ “ถอดใจ” ไปแล้วหากไม่มีคุณทักษิณและ ทรท. ความไม่ราบรื่นที่แสดงเห็นได้ชัดเจนอีกอย่างก็คือ จากที่คุณทักษิณได้เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้กับสำนักข่าว Times Online เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2552 กดที่นี่

ยิ่งจะทำให้ได้เห็นความชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกรวมทั้งทิศทางที่ “น่าจะเป็น” ในยุคสมัยหน้าด้วย กล่าวคือ ได้มี “รหัส” อยู่ในหลาย ๆ คำให้สัมภาษณ์นี้

เป็นต้นว่า การปกครองระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญจะต้องยึดถือปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด(สถาบันก​ษัตริย์ต้องมีการปรับปรุง), (รัชสมัยใหม่)คนใกล้ชิดราชวังจะมีขนาดเล็กลง,

กษัตริย์ทรงต้องหมุนเปลี่ยนไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยนี้เช่นกัน(สมเด็จฯ ทรงเป็นคนรุ่นใหม่ ทันสมัย เข้าใจโลกสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลง),

(ราชวงศ์ไทยในยุคสมัยหน้า)เป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเข้าใจว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลง
เหล่านี้คือนัยที่แสดงให้เห็นว่า “คุณทักษิณมีแนวคิดต่อทิศทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่รัชสมัยใหม่อย่างใด”

แต่ยังไม่เคยปรากฏเป็นความชัดเจนต่อสังคมพอที่จะเป็นสิ่งที่ใช้ยึดถือเป็นแนวทางได้

และหากเป็นจริงได้ตามนั้น เชื่อได้ว่าน่าจะเป็น "ทางออกที่แท้จริงและอะลุ่มอะล่วยที่สุดของสังคมไทย" อย่างแน่นอน

แต่จากความเห็นต่างต่อรัชสมัยใหม่ที่ Wikileaks นำมาเปิดเผยนั้น แน่นอนว่าแนวทาง TTT ย่อมเป็นการรักษาสถานะของอำนาจและบริวารเดิมตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่ถ้า 000 สามารถขึ้นแท่นได้ ย่อมมีการ “เอาคืน” จากที่เคยเป็นฝ่ายถูกกระทำมาหลายปี จึงเป็นความหวาดผวาของแผงอำนาจเก่าที่จะถูกกระทำเมื่อเวลานั้นมาถึง
ซึ่งสิ่งที่ได้กล่าวมาเกี่ยวกับความไม่ราบรื่นในการเปลี่ยนผ่านนี้จะเป็นเหตุเป็นผลน​ำไปสู่
พัฒนาการของความขัดแย้งในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านในช่วงปลายรัชกาลอย่างที่เป็นอยู่ในขณ​ะนี้









2. พัฒนาการของความขัดแย้ง : ความสุดขั้วของสองฝ่าย

พัฒนาการของความขัดแย้งเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเกิดปรากฏการณ์ “การเลือกฝ่าย”
โดยมีคุณสมัครอดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับที่ได้ชื่อว่าเป็นพวก “ขวาจัด” ยอมเป็นผู้ถือธงนำให้กับพรรคพลังประชาชน
พร้อมทั้งการกลับมาของ พล.อ.ชวลิต รวมทั้งอดีตนายทหารเก่าอีกหลายนาย และฝ่ายที่ได้ชื่อว่าเคยเป็น “ผู้ล่า” อย่าง พล.อ.พัลลภ และ พล.ต.ขัติยะ หรือ เสธ.แดง ผู้โด่งดัง
แต่ต้องมาถูกลอบสังหารกลางกลุ่มผู้ชุมนุม และการยอมเข้าร่วมเป็นพวกกับ พ.ต.ท.ทักษิณของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านี้เมื่อพิจารณาให้ดี
ไม่ใช่เพราะเกิดจาก อำนาจ หรือ บารมี ของคุณทักษิณ หรือนโยบายของพรรค หรือยอมรับในอุดมการณ์ของ “คนเสื้อแดง” แต่อย่างใด แต่มันเกิดจากการเลือกที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายที่คุณทักษิณให้การสนับสนุน นั่นก็คือที่มาของคำว่า “แดงทรงเจ้า”
ดังจะเห็นได้จากทิศทางของคนเสื้อแดงก่อนปี53 จะเดินแนวทางเทิดทูลสถาบันฯ อย่างเข้มข้นในทุกโอกาส จนหลังจากเกิดเหตุการณ์ 10เมย และ 19พค53 จึงได้เกิดพัฒนาการของฝ่าย “แดงตาสว่าง” เกิดขึ้น ซึ่งกำลังจะพัฒนาไปสู่ความ “สุดขั้ว” ของฝ่ายคนเสื้อแดง นั่นก็คือ “การล้มล้าง”

ส่วนฝ่ายอำมาตย์เอง จากการที่เคยเตรียมการสำรองแนวทาง TTT เอาไว้ หากต้องมาพบกับอุปสรรคใหญ่
คือเกิด “บารมีทักษิณ” ทำให้ 000 มองเห็นทางที่จะร่วมกับคุณทักษิณ คือ ในสภาฯ มีฝ่ายค้านเสื้อแดงพรรคเพื่อไทย
ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อแนวทางการเปลี่ยนผ่านด้วยแนวทางสำรองนี้ กล่าวคือ แนวทางสำรองนี้ต้องเสนอให้ “รัฐสภาให้ความเห็นชอบ” ในการรับรองการเปลี่ยนผ่านด้วยแนวทางนี้
และแน่นอนว่าหากมีรัฐสภาในสภาพปกติแบบนี้ต่อไปโดยที่มีฝ่ายค้านสีแดงพรรคเพื่อไทยที่​มีคุณทักษิณอยู่เบื้องหลังและเบื้องหลังของคุณทักษิณก็ยังมี 000
เมื่อมีการเสนอแนวทางสำรองเข้าสู่สภาย่อมต้องมีการ “อภิปราย” ถึงความถูกต้องชอบธรรมหรือความเหมาะสมต่าง ๆ
ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายจนอาจจะไม่สามารถควบคุมได้ ทางแก้ หากจะเปลี่ยนไปเป็น “รัฐบาลแห่งชาติ”
ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าจะมีรัฐบาลแห่​งชาติได้ ดังนั้นต้องใช้วิธีให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ซื้อเวลาต่อไปเรื่อย ๆ

รอ “ยุบสภา” เมื่อสถานการณ์ "แตกดับ" นั้นมาถึง เพื่อกำจัดอุปสรรคฝ่ายค้านสีแดงออกไปจากสภา แล้วให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาแทนตามที่ รธน ระบุไว้ จึงเห็นได้ว่ามีการ “เตรียมการ” ในส่วนที่เป็น สว สรรหาเพื่อการนี้ทั้ง ๆ ที่ระบบสรรหานี้ขัดหลักการประชาธิปไตย ซึ่งหากบ้านเมืองอยู่ในสภาพปกติ การเปลี่ยนผ่านด้วย “สภาเท่านั้น” จึงจะทำให้เกิดความ “สง่างาม” ได้ แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันเมื่อยุบสภาแล้วให้วุฒิสภาทำหน้าที่แทน ใช่ว่าปัญหาจะถูกขจัดสิ้นไปได้ เพราะถึงแม้อุปสรรคในสภาจะหมดไป หากแต่นอกสภาฯ ยังมี “คนเสื้อแดง” ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด

แนวทางสำรองนี้จึงทำท่าว่าจะยังไม่ใช่หนทางที่ “มั่นคง” ต่ออนาคตของผู้ที่ยังจะต้องอยู่ต่อไป

จึงได้เห็นแนวทางของขั้วอำนาจใหม่ภายใต้นักการเมืองสีน้ำเงินผนึกกำลังกันกับบูรพาพย​ัคฆ์หรือทหารเสือราชินี
เพื่อเดินแนวทาง “ผู้สำเร็จฯ” โดยยึดระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านให้ยาวออกไปควบคู่กับการทำให้สถานการณ์ราบคาบต่อไป
แต่แนวทาง “ผู้สำเร็จฯ” นี้จะเกิดขึ้นได้ต้องใช้วิธีการ “ยึดอำนาจ” เท่านั้น

และโดยสัจธรรม ผู้ที่กำลังจะจากไปอาจจะไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างที่เคยเป็น และผู้ที่จะอยู่ต่อไปนั่นต่างหากจะต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด












3. อนาคตที่จะต้องเผชิญ : สงครามภายใน 2 ครั้งใหญ่

สงครามแย่งอำนาจของชนชั้นสูง

สถานการณ์ในปัจจุบันเรากำลังอยู่ในระหว่างช่วงปลายรัชกาลที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย
แต่จากความไม่ลงตัวในหลาย ๆ ด้าน จึงทำให้กลายมาเป็นสงครามแย่งอำนาจของชนชั้นสูง
ดังนั้น นอกจากความสูญเสียในปี53 แล้วยังจะต้องมีความสูญเสียครั้งใหญ่จากการแก่งแย่งรออยู่อีกในเบื้องหน้า
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดสามารถยึดครองอำนาจได้ แต่หากยังขืน “คงรูปแบบเดิม” อีกต่อไป
จะนำไปสู่สงครามภายในครั้งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์ชาติ นั่นก็คือ



สงครามเลือกฝ่าย

สังคมไทยเคยเผชิญหน้าและเข้าห้ำหั่นกันมาแล้วหลายครั้ง ส่วนมากเป็นการกระทำโดยฝ่ายที่คุมอำนาจรัฐเข้ากระทำพร้อมกองกำลังและอาวุธ
ทำให้ฝ่ายประชาชนสูญเสียมากมาย สุดท้ายก็จะมีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น “เป็นผู้หลักผู้ใหญ่” ออกมา “ห้ามทัพหย่าศึก” เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ไกล่เกลี่ย
และสุดท้ายก็ “ไม่มีใครผิด” มีแต่ประชาชนที่ “ตายเปล่า” และบารมีที่เสริมเพิ่มขึ้นของ “ผู้ใหญ่”
ซึ่งคำว่า “ผู้หลักผู้ใหญ่” นี้จะเป็นเหตุใหญ่ของสังคมไทย เพราะสังคมไทยให้ความสำคัญกับ “ผู้ใหญ่” มากกว่าหลักการที่เป็นสากล
แต่หากวันใดที่สังคมไทยไร้ซึ่งผู้ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่อย่างแท้จริง ก็จะกลายเป็นสังคมที่ไร้หลักยึดเหนี่ยว
และจากยุคสมัยของโลกไร้พรหมแดนในปัจจุบันเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีต ทั้งที่เป็นข้อมูลจาก “ประสบการณ์จริง” และจากการ “ประมวล” เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ระบบโลกไร้พรหมแดนนี้ รวมทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังของเหตุการณ์เหล่านั้น
ทำให้ได้รู้ว่า “ใคร” คือตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โหดสังหารหมู่คนไทยด้วยกันเอง และข้อมูลเหล่านี้เริ่มกระจายขยายวงออกไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นกระแสโกรธแค้นที่โดนหลอกมาตลอด ทำให้สังคมไทย “ไร้แล้วอย่างสิ้นเชิง” ของผู้ที่มีบารมีพอที่จะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อเป็น “หลักยึด” ให้กับบ้านเมืองได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาสังคมไทยได้ให้ความสำคัญกับ “ตัวบุคคล” มากกว่าสิ่งอื่นใดดังที่ได้กล่าวไปแล้ว เมื่อ “สิ้น” ตัวบุคคลที่มีบารมีพอ กอปรกับสถานการณ์เลือกฝ่ายอย่างเด่นชัดของแนวทาง “ตาสว่าง” คนในสังคมไทย ณ ปัจจุบัน


การเผชิญหน้ากันในครั้งต่อไปจึงไม่มีใคร “มีบารมีจริง” พอที่จะสามารถออกมา “หย่าศึก” ได้อีก

และสิ่งที่เป็นความจริงอย่างที่สุดก็คือ “ทุกคนในสังคมไทย” ได้เกิดการ “เลือกฝ่าย” ไปแล้ว

อนาคตมีแต่จะห้ำหั่นกันจนย่อยยับกันไปข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้นเอง










4. ทางออก : ร่วมกันเปลี่ยนผ่านไปสู่รัชสมัยใหม่ด้วยรูปแบบที่เป็นสากล เพื่อกระชับพื้นที่แนวปะทะขยายแนวร่วม

จากการเปลี่ยนผ่านในหลายครั้งที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่กำลังจะจากไปอาจจะไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างแท้จริงอย่างที่เค​ยเป็น
เพราะเมื่อมีนัยบางอย่างแสดงว่ายุคสมัยใกล้จะสิ้นสุดลง ดุลอำนาจย่อมถ่ายเทไปสู่บุคคลที่คาดว่าจะมาสืบทอด
ถ้าหากเป็น “ขั้ว” เดียวกัน ก็ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น แต่หากมีขั้วอำนาจหลายขั้วต่างกัน
“ดุลอำนาจ” ที่เป็น “ตัวแปรหลัก” ที่จะส่งผลต่อทิศทางการเปลี่ยนผ่านในแต่ละยุคสมัยคือ “กองทัพ”
ขั้วอำนาจใดยึดกุมสภาพกองทัพได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก่อน ผู้นั้นจะเป็นผู้กำหนดทิศทางแห่งการเปลี่ยนผ่าน
แต่จากสภาพของกองทัพในปัจจุบันภายใต้ผู้นำที่มาจาก “บูรพาพยัคฆ์” กลายเป็นกองทัพที่แตกแยกและร้าวลึก
ส่วนหนึ่งมาจากการจัดสรรตำแหน่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะ “วงศ์เทวัญ” ไม่ได้เกิด
ซึ่งความจริงก็คือเพื่อยึดกุมสภาพของกองทัพให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อที่จะได​้เป็นผู้ “ชี้นำ” ทิศทางการเปลี่ยนผ่าน
บูรพาพยัคฆ์จำเป็นจะต้องยึดกุมสภาพกองทัพให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ และเมื่อกองทัพอยู่ภายใต้การนำของบูรพาพยัคฆ์หรือทหารเสือราชินี
จึงทำให้มองเห็นทิศทางที่ควรจะเป็นของการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้

แต่จากปรากฏการ “มวลชนคนเสื้อแดง” ทำให้ “ดุล” ที่เคยเป็นของกองทัพฝ่ายเดียวได้ถูกถ่ายเทไป
จึงทำให้เกิดเป็นภาวะคานอำนาจกันระหว่าง “กองทัพ” ที่มี “อาวุธ” กับ “มวลชน” ที่มี “ปริมาณ”
ซึ่งหากเกิดการปะทะกัน แน่นอนว่าความสูญเสียมหาศาลย่อมเกิดแก่ฝ่ายประชาชน ดังนั้น จะทำอย่างไรที่จะทำให้เหล่าทัพหันมาร่วมมือกับประชาชนได้นั้น
แน่นอนว่าจะต้องมี “เงื่อนไข” ที่มองเห็นร่วมกันอย่างชัดเจนแล้วว่า “เป็นทางออกและยังประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง”
โดยต้องเป็นแนวทางที่ทำให้ทุกฝ่ายมองเห็นความเป็นไปได้ในอนาคตร่วมอย่างเป็นรูปธรรม
การ “ร่วมกันเปลี่ยนผ่านไปสู่รัชสมัยใหม่ด้วยรูปแบบสากล” โดยมองไปที่ “ญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีให้ประจักษ์อยู่แล้ว
ด้วยวิธีการนี้จึงเป็นแนวทางที่จะทำให้สามารถ “ตัดวงจร” ที่จะทำให้สังคมเดินไปสู่สงครามระรอกสอง
และจะเป็นการลดระดับความรุนแรงจากสงครามแก่งแย่งครั้งนี้ลงไปได้ กล่าวคือ สภาพของสังคมไทย ณ ปัจจุบัน
กำลังเผชิญอยู่กับสงครามชิงอำนาจของชนชั้นสูงที่ไม่มีฝ่ายใดยึดกุมสภาพได้อย่างเบ็ดเ​สร็จเด็ดขาด ฝ่ายหนึ่งมี “กองทัพ” ก็เป็นกองทัพที่ “แตกแยกและร้าวลึก”
ฝ่ายที่มี “อำนาจรัฐ” ก็เป็นอำนาจที่ “ไร้สภาพ” ส่วนฝ่ายที่มี “มวลชน” ก็เป็นมวลชน “ตาสว่าง” และเริ่มขยายวงออกไปเรื่อย ๆ
จากสภาพของแต่ละฝ่ายที่เป็นอยู่แบบนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่มีฝ่ายใดสามารถที่จะ “คุม” ได้แม้แต่สภาพของตนเอง
จึงเกิดเป็นความระส่ำระสาย ความไม่มั่นคง ที่ปรากฎอยู่ในกลุ่มก๊กต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

ส่วน “สงครามชายแดน” กับประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่สามารถเรียกความเป็นชาตินิยมให้กลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีก
เพราะความ “เท่าทัน” ต่อเจตนาที่ “แฝง” อยู่ในสงครามนี้ และหากเกิดการ “แตกดับ” ขึ้น
ก็ถึงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างจะ “หมดความเกรงใจ” ต่อบารมีที่ยังคงพอมีเหลืออยู่นี้
และเมื่อนั้น สภาพของบ้านเมืองที่ขาด “หลักยึดที่แท้จริง” จะปรากฏ การปะทะกัน เหตุรุนแรง จะลุกลามและมีอยู่ในทุกหย่อมหญ้า
สงครามกลางเมืองจะกลายเป็นเรื่องเด็ก ๆ

การแสดงเจตนาร่วมกันเปลี่ยนผ่านไปสู่รัชสมัยใหม่ด้วยรูปแบบของ “ญี่ปุ่น” โดยผู้ที่มีความ “ชอบธรรม” ต่อรัชสมัยใหม่เป็นผู้ “ถือธงนำ” ในการเปลี่ยนผ่าน จึงจะเป็นแนวทางที่จะสามารถทำให้เป็นทางออกอย่างแท้จริงให้กับสังคมไทยได้ เป็นการลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ปะทะกันลงได้มากที่สุด โดยจะต้องมีการพูดคุยกันในระดับ “วงใน” ด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อจำกัด ผลที่จะเกิด อย่างครอบคลุมรอบด้าน เพื่อนำมาทำให้เป็น “รูปแบบ” ที่จะใช้เป็น “แนวทาง” ในการแสวงหาพันธมิตรที่กำลังระส่ำระสายอยู่ในแต่ละฝ่าย

ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้มองเห็นทางออกเป็นรูปธรรมได้ง่าย โดยเฉพาะจะทำให้คนในกองทัพเล็งเห็นว่า
แนวทางนี้ไม่เป็นการล้มล้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เป็นการรักษาสถาบันอย่างแท้จริง ฝ่ายประชาชนก็จะเข้าใจสถานการณ์และแนวทางที่ประเทศชาติจะเดินไป โดยมี “ภาพ” ของญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างที่ดีให้เห็นอยู่แล้ว ทำให้ภาพการล้มล้างกันด้วยความรุนแรงลดระดับลง ทุกฝ่ายมองเห็นความอะลุ้มอล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัย และมองเห็น “ทางออกร่วมกัน” อย่างแท้จริง ส่วนเรื่องพฤติกรรมและภาพลักษณ์ส่วนตัวหากเทียบกับการรับรู้ของสังคมไทยว่า “ใคร” คือคนต่อไปย่อมไม่มีน้ำหนัก ยิ่งถ้าเป็นผู้แสดงความชัดเจนเองต่อสถานภาพในอนาคตที่พร้อมจะเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส​่วนตัว(แต่โดยความเป็นจริงแล้วคือ “สภาพบังคับ”)


ส่วนความชัดเจนจะเกิดขึ้นได้นั้น “ตัวแปร” อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงเอง ระหว่าง “แดงทรงเจ้า” กับ “แดงตาสว่าง”

แนวทาง "แดงตาสว่าง" ที่ขยายวงกว้างอยู่นี้ จะเป็น "เงื่อนไข" ที่ใช้ในการ "ต่อรอง" เพื่อให้เกิดการ "เปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบที่เป็นสากล"











5. บทสรุป : ไม่มีวันที่สังคมไทยจะกลับไปเหมือนเดิม”

สังคมไทยจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว

เหตุเพราะการรับรู้ของสังคมนั้นไปไกลและลึกซึ้งถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริงผ่านการสื​่อสารไร้พรหมแดนในยุคโลกาภิวัฒน์
ดังนั้น การดึงดันมุ่งแต่จะรักษาอำนาจและผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มเฉพาะตน ย่อมนำไปสู่หายนะที่ไม่อาจเรียกกลับมาเหมือนเดิมได้อีก สิ่งที่ควรทำที่สุดคือ “การเปลี่ยนแปลง” ไปสู่สิ่งที่เป็นสากล แต่จะมีวิธีการใดที่จะสามารถทำให้การเปลี่ยนแปลงอย่างที่ว่านี้
เป็นไปได้อย่างนุ่มนวลที่สุด จำกัดวงการเผชิญหน้าให้เหลือแคบที่สุด เพื่อลดความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินได้นี้ให้ลดลงเหลือน้อยที่สุด


การระดมความคิดเห็นอย่างเปิดกว้างและจริงจังเท่านั้น จึงจะทำให้สังคมไทยเผชิญวิกฤติปัญหาได้อย่างเท่าทัน

การจมจ่อมอยู่แต่กับอดีตและปัจจุบัน อาจจะทำให้เรามืดบอดต่ออนาคตที่เปิดรอท่าเราอยู่ก็เป็นได้
.


......
เรากำลังอยู่ในห้วงสถานการณ์เปลี่ยนผ่านในช่วงปลายรัชกาล...
อันจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์ของบ้านเมืองในอนาคต...

We are in a transition period for the situation at the end of the reign ...
This will lead to uncertainty on the situation of the country in the future ...

------------------------------------------------------------------------------
เป็นบทความที่น่าอ่าน เขียนโดย sealand สุรชัยม้าน้ำ
คัดจาก http://www.internetfreedom.us/thread-19151.html
------------------------------------------------------------------------------

เลือกเพื่อไทย อย่าโนโหวต เราแพ้ไม่ได้

"เลือกเพื่อไทย อย่าโนโหวต เราแพ้ไม่ได้" อ.สุรชัย จิตวิญญาณนักประชาธิปไตยของแท้...
30 มีนาคม 2553
จากการที่ได้เข้าเยี่ยมอาจารย์สุรชัยที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ในช่วงเวลาเดียวกันมี ดร. ประแสง และกรรมการแดงสยามบางส่วนเข้าเยี่ยมพร้อมกัน
ประเด็นที่อยากจะบอกให้มวลชนเสื้อแดงได้รู้ด้วยกันเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยอาจารย์สุรชัย ได้บอกว่า
"พวกเราต้องออกมาเลือกตั้งกันมากๆ ออกมาช่วยเลือกพรรคเพื่อไทยให้มากที่สุด อย่าโนโหวต เราจะแพ้ไม่ได้"
กรรมการแดงสยามจะสรุปคำพูดของอาจารย์สุรชัย และประชาสัมพันธ์บนเวบบอร์ดของ redsiam.tv ทุกๆ วันที่เข้าเยี่ยม
เพื่อนๆ ท่านใด อยากจะฝากข้อความถึงอาจารย์สุรชัย ก็เข้าไปที่เวบบอร์ดได้ครับ...

เครดิตคุณ janbin

ต้องขอคารวะในหัวใจนักประชาธิปไตยของท่าน อ. สุรชัย...
คำตอบของท่านเป็นคำยืนยันได้เป็นอย่างดี...การต่อสู้ของเราไม่ได้ถอยหลัง...
เรากำลังรุกเข้ามาอีกก้าวต่างหาก อย่างที่ท่าน อ. สุรชัยบอกไว้...
การต่อสู้ ต้องควบคู่กันไป ทั้งมวลชน และพรรคการเมือง...
งานนี้เราต้องรวมพลังกัน "เลือกเพื่อไทย อย่าโนโหวต เราแพ้ไม่ได้"...
ต้องกราบขอบคุณท่าน อ. สุรชัยเป็นอย่างมากที่ท่านออกมาแสดงจุดยืนในครั้งนี้...
ท่านเป็นแบบอย่างที่ดี ท่านเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของแท้...

จาก http://www.internetfreedom.us/thread-19162.html
**************************************************

ทฤษฎีนี้..ต้องแทงตรงหัวใจให้ทะลุหลัง

ทฤษฎีปฎิวัติเพียงดิน ต้องแทงตรงหัวใจให้ทะลุหลัง…


หากจะมองภาพการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรักษ์เจ้า หรือฝ่ายศักดินานิยม กับฝ่ายประชาธิปไตยในระยะปีที่สี่หลังการรัฐประหาร 49 มาจนถึงเวลานี้ ต้องถือว่ายากจะบอกว่าใครจะชนะแบบไหนในระยะใกล้นี้ ยังก้ำกึ่งและมีสิทธิออกได้หลายหน้าเสียด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ประชาชนจะต้องชนะในระยะยาวในที่สุด แต่จะเพราะเทพอสูรเป๋หรือตายก่อนและภาคียอมโยนผ้าขอแพ้ หรือจะประชาชนชนะแตกแบบเลือดกลบหน้าสู้ต่อไม่ได้ หรือจะโดนประชาชนน็อคแบบโหดทะลวงใส้ ก็ต้องเกิดโดยประชาชนชนะแน่ ๆ แต่ในระยะใกล้นี้ ต้องย้ำว่า ยังก้ำกึ่งครับ

ที่ว่าก้ำกึ่งนั้น แปลว่า คณะรักษ์เจ้าเคล้าศักดินานิยม มีโอกาสจะสามารถเตะถ่วงและยึดอำนาจได้อีกหลายที ก็คือชนะในยกต่อไปนั่นเอง และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่าเราอาจจะต้องทรมาณเหมือนดูละครน้ำเน่าบ้านทรายทองอีกซัก​สองสามตอนนะครับ ที่เห็นชัด ๆ เราก็เห็นการจับแกนนำเราขังคุก ไล่ต้อนแกนนำไม่ให้โงหัว พยายามสยบและสลายทุกกลุ่มที่จะคิดการต่อต้านรัฐบาล เข้าครอบครองสื่อทุกแขนง ป้อนข้อมูลเน่าให้กับระบบต่าง ๆ ทุกระบบ ใช้ตีนมือระบอบราชการ (กิจการของพระราชา) ฯลฯ ภาพที่เห็นเวลานี้ จึงเหมือนว่า พวกเทพอสูรและภาคีต่างย่างสามขุมไล่ต้อนฝ่ายประชาธิปไตย แถมมีกรรมการคอยจับตีนมือฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อหวังให้อีกฝ่ายต่อย ๆ เตะเอา … ภาพที่เห็นปลายยกที่ผ่านมาและในอีกยกต่อไปที่กำลังจะเริ่ม ต้องถือว่าน่าอึดอัด เพราะ ฝ่ายประชาชน ยังคงต้องถอยและแย็ปหมัดเพื่อป้องกันตัวเองไปก่อน


สิ่งที่ผมเกรงไว้ว่าจะพัฒนาต่อไปจากนี้ ก็คือภาพจำลองสองภาพ ที่อาจเป็นไปได้ครับ

หนึ่ง หากมีการเลือกตั้งปีหน้านี้ 2554 เราจะแพ้อย่างราบคาบ แล้วพวกศักดินาจะอ้างความชอบธรรม และฝ่ายประชาธิปไตยจะแดงกระจัดกระจาย แล้วก็กลายเป็นผู้ก่อการร้ายที่จะถูกเขาจัดการอย่างถูกกฎหมาย ยิ่งใช้ความรุนแรง ก็จะยิ่งโดนเขายุให้ฆ่าฟันล้างล่า จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง หรือสงครามกองโจร ที่ต้องอาศัยเวลาและการสูญเสียมหาศาลก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้

และสอง หากเสื้อแดงแกร่งเกินต้าน และพวกแก๊งค์เทพอสูรรู้ว่าเลือกตั้งแล้วจะแพ้ พวกเขาจะหน้าด้านยืดอายุรัฐบาล หรือหาโอกาสตั้งรัฐบาลอวยเจ้าและเฝ้าล่าแดงให้จงได้ จากนั้น ก็จะดำเนินการเหมือนที่กำลังทำอยู่ แต่จะยิ่งเพิ่มอัตราความโหด ประชาชนจะตายในหลักพันหลักหมื่น ไม่ด้อยกว่าเหตุสมมุติข้างบน

การคงอยู่ของไดโนเสาร์เหล่าตอแหลศักดินานั้น ไม่มีทางที่จะตั้งอยู่บนความรุ่งเรืองและสุขสบายของประชาชน เพราะพวกนี้ กำเนิดก็ผิดธรรมชาติ อยู่ก็ผิดศีลธรรม และปล่อยไว้ก็เป็นพิษแบบโรคติดต่อร้ายแรง ดังนั้น ไม่มีทางเลือกหรอกครับ หากประชาชนจะยอมให้เกิดเหตุการณ์สองอย่างข้างบน เราจะสูญเสียมหาศาล ดังนั้น หากอยากกู้บ้านแปงเมือง หากอยากให้บ้านเมืองลงเอยด้วยดี เราก็ต้องจัดการป้องกันและต่อสู้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสองสิ่งนี้ ก็ต้องลุกมาปฎิวัติ

ผมฟังคุณชูพงศ์และคุณแอนตี้มานาน เห็นด้วยและชื่นชมกับทั้งสองท่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในแง่การชี้เป้าว่า กษัตริย์คือตัวปัญหาสำคัญของบ้านเมือง และเชื่อตามว่า กษัตริย์และกลุ่มผลประโยชน์รอบวัง คือก๊กที่ชิงอำนาจจากประชาชนไปใช้ปกป้องและแสวงหาผลประโยชน์ร่วมอย่างเป็นระบบ เป็นแก๊งค์ และเป็นภัยยิ่งต่ออนาคตของประเทศชาติ แต่ผมไม่เห็นด้วยว่าเราควรจะทิ้งแนวรบทางรัฐสภาเสียสิ้นเชิง เพราะยิ่งเราปล่อยให้พวกอภิสิทธิชนตอแหลอยู่ในอำนาจ ความเสี่ยงของการเกิดภาพจำลองทั้งสองภาพข้างบนจะยิ่งเพิ่มขึ้น และประชาชนจะชนะยากขึ้น และสูญเสียมากขึ้น

การจะสู้และจะก้าวไปสู่การปฎิวัติประชาชนนั้น จะต้องทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งผมได้เน้นไว้หลายครั้ง ดังที่ระบุไว้เป็นภารกิจมดแดง http://unrad.net/?page_id=291 และหัวใจของปัญหาที่เราต้องแทงให้ทะลุไปถึงแผ่นหลังของตัวปัญหา หัวใจของปัญหาเมืองไทยมีหลายด้าน ซึ่งเราต้องแทงให้ทะลุเข้าไปถึงใจกลาง ส่วนจะจัดการอย่างไรนั้น เราต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำต่อไป แต่ทิศทางต้องชัด คือจัดการกับทุกส่วนของหัวใจปัญหาต่อไปนี้:-

ข้างนอกสุดของหัวใจของปัญหาแห่งชาติไทย คือ พลังมวลชนที่ถูกเขาสกดไว้ด้วยมนตราไสยศาสตร์ ทำตัวจัดขวางประชาชนด้วยกันเอง หากไม่แก้ไขให้มวลชนตื่น เราก็จะพบกับความลำบากในการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฎิวัติในอนาคต

ถัด ๆ กันเข้าไปนี้ ก็จะพบว่ามีสื่อ สถานศึกษา หน่วยงานราชการ และหน่วยงานการเมืองทั้งหลาย ที่อยู่ในกำกับของก๊กเทพอสูร พวกนี้เป็นสิ่งที่จะพบได้ทั่วไป และจะเป็นเหมือนตัวมนตร์สกด หรือสารแพร่พิษ ที่ทำให้มวลชนจำนวนมากต่อต้านการพัฒนา หรือวางเฉย หรือไม่กล้าสู้ หริอหลายส่วนยังตามืดบอดอีกต่อไป

ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ก็คือรัฐบาลนอมินีก๊กมาร รัฐบาลนี้ คือตีนมือของเทพอสูร เป็นเครื่องจักสำคัญ เราคงเห็นแล้วว่า รัฐบาลที่มีหัวหน้ารัฐบาลหน่อมแน้ม และมีกำนันเก่ามากุมอำนาจมหาดไทย มันกลับสามารถใช้งานเครือข่ายตีนมือระบอบราชาธิปไตยอย่างดีและยึดอำนาจมาปั่นต่อ จนทำให้เหล่าเสื้อแดงรวนไปหลายครา เรียกว่ามาแรงจนแดงต้องหลบเชียวนะครับ….

และส่วนที่ลึกลงไป ที่กำกับรัฐบาลและสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดกับขั้วปัญหา ก็คือกลุ่มทุนที่่ได้ประโยชน์กับการอยู่ร่วมกับรัฐบาลนอมินีและราชสำนัก และระดับนี้ จะมีขุนศึก (ทหารตำรวจ) เป็นกลไกช่วยเหลือสำคัญ หากไม่แก้หรือยึดครองกลุ่มนี้ ก็จะไม่มีทางเข้าถึงแกนกลางของปัญหาได้

และในที่สุดตรงกลางสุดของปัญหา ก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นเอง ปัจจุบันนี้ ความสงสัยเกี่ยวกับบทบาทและฐานะที่แท้จริงของสถาบันฯ นั้น แทบไม่เหลือแล้วครับ คงไม่ต้องขยายความเลย สำหรับคนเสื้อแดงที่ได้รู้ ได้ยิน ได้เห็น และได้สัมผัสมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมา

การจะปฎิวัติ จะต้องแทงหัวใจปัญหาเหล่านี้ให้ทะลุ จะต้องเอาพวกนี้มาเป็นพวกของประชาชนให้จงได้ หากเอามาเป็นพวกไม่ได้ ก็ต้องทำลาย หรือกดให้หมดอำนาจหรือพลังที่เป็นพิษต่อประชาชนให้ได้ จะทำอย่างเดียว ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ด้วย

การจะจัดการกับพี่น้องประชาชนที่ถูกสกดจิต ทำอย่างไร การเผยแพร่ความจริง และสร้างภาพเชิงสัญลักษณื ทำได้ดีแล้ว แต่ต้องทำมากกว่าเดิม ลึกกว่าเดิม และมุ่งเป้ากระจายออกไปหาประชาชนสีอื่น ๆ อย่างมีความคาดหวังให้สูงยิ่งขึ้น

การจัดการกับสื่อ สถานศึกษา วัดโบสถ์มัสยึด กลไกที่เป็นกลุ่มก้อนในสังคม ที่ยังรับใช้ลัทธิไดโนเสาร์ ใครรับผิดชอบ และต้องทำอย่างไรบ้าง เป็นโจทย์สำคัญอย่างยิ่ง

เรื่องการแย่งอำนาจรัฐ ก็จะต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อไทยอาจจะเป๋ แต่ประชาชนจะต้องไม่เป๋ ไม่ยอม และจะต้องดึงเพื่อไทยมารับใช้ให้ได้ ตอนนี้ยังไม่ชัด แต่จะต้องทำให้ชัดกว่านี้

ส่วนกลุ่มขุนศึกและนายทุนอิงวังนั้น การจัดการหรือดึงพวกเขาเข้ามาสนับสนุนการปฎิวัติประชาธิปไตย จะต้องทำอย่างมีเป้าหมาย และหากพวกนี้พยศและทำร้ายประชาชน ประชาชนยิ่งจะต้องมีวิธีปรามและกำราบพวกเขาอย่างเด็ดขาด ตรงนี้อ่อนไหวมาก ๆ และเป็นจุดบ่งชี้สำคัญ!!!! ใครจะทำ และทำอย่างไร???? เป็นคำถามที่แกนนำการปฎิวัติในวันนี้และในอนาคตต้องคิด เพราะหากไม่สามารถกดหรือดึงพวกนี้มาเข้าข้างประชาชน เราชนะไม่ได้ครับ หรือจะชนะได้ ก็ต้องฆ่าล้างโคตรกันไปข้างหนึ่งทีเดียว แต่คงล้างโคตรประชาชนไม่ได้ ดังนั้น หากจะล้างโคตรแล้วชนะ ก็คือ ฝ่ายขุนศึกและนายทุนศักดินาน่ะแหละ ที่จะต้องถูกล้มล้าง

และในที่สุด ก็ต้องมาถึงแกนกลางที่สุดของปัญหา ชั้นในสุด หากคิดจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หากไม่แตะถึงแกนกลาง ก็จะไม่มีทางแทงทะลุหัวใจ และจะไม่สามารถหยุดกลไกพิษหรือวงจรอุบาทว์ได้ จะทำอย่างไร ผมไม่ยุยงหรือบอกให้ท่านทำอะไร แต่เดาว่าสันดานที่หนาทึบและบาปหนักที่ภาคีคนชั่วได้ทำมา จะทำให้พวกเขาทำชั่วยิ่งขึ้น และคงจะนำไปสู่สิ่งเหล่านี้ ซึ่ง ในที่สุด อาจจะเป็นล้อมวังจับตัวฆ่าฟัน จะล้อมวังแล้วบังคับให้เจรจายกอำนาจคืนประชาชน จะกราบบังคมทูลแบบเนียน ๆ และประณีประนอมผ่านสภา จะลอบฆ่าล่าล้าง จะกราบแล้วขอร้องให้ท่านคืนอำนาจแบบบัวไม่ช้้ำน้ำไม่ขุ่น แต่สิ่งเหล่านี้ ต้องเกิดตามธรรมชาติแห่งเงื่อนไขแห่งยุคปฎิวัติ และจะต้องเกิดภายในไม่เกินรัชกาลที่สิบแน่นอน เพราะเวลานี้ปัญหา ประเทศไทย เหมือนหนองที่มีน้ำหนองเหลืองบวมพองเกินผิวหน้าของหนังจะรับได้แล้ว และการจัดการกับฝี ไม่มีทางอื่นใดที่จะเลี่ยงการเอาหัวฝีออกได้เลย

จะเห็นว่า สิ่งที่กล่าวมา คือ ทฤษฎีปฎิวัติเพียงดิน เพราะนี่คือการปฎิวัติของประชาชนชาวดิน ที่ไร้อำนาจบาตรใหญ่ ไร้กลไกอำนาจในระบอบอำนาจเดิม ดังนั้น หากจะเจาะเข้าไปแก้ปัญหา ก็ต้องแทงให้ทะลุให้จงได้ จะทำอย่างไร? นี่เป็นโจทย์ที่คนเสื้อแดงหลายฝ่ายพยายามคิด แต่อย่าลืมว่า หากคิดได้เท่าเดิม ทำได้เท่าเดิม และไม่มองสิ่ิงที่กล่าวมาทั้งหมด และทำในทุกจุด เราจะเสี่ยงที่จะถูกถึงไปอยู่ในเกมอำนาจโฉดสองเกมของลัทธิไดโนเสาร์ เราจะสูญเสียอย่างมหาศาล…

การปฎิวัติเพียงดิน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ทำไม่ได้…
ทำน้อยก็ไม่ได้…
ทำแบบไม่ครบวงจรก็ไม่ได้..​.
และทำแบบไม่สามัคคีพลังประชาชนก็ไม่ได้…
ประชาชนไทย พร้อมแค่ไหนและมุ่งมั่นเพียงใดล่ะครับ?


จากเว็บไซต์ http://www.internetfreedom.us/thread-19173.html

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

























ภาพยนตร์กับการเป็นอนุสาวรีย์ทางความคิด:
กรณีภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช



Tue, 2011-03-29 13:08
พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ
เครือข่ายพลเมืองเน็ต

เมื่อพี่น้องลูมิแยร์สร้างกล้องบันทึกภาพยนตร์เครื่องแรกขึ้นในโลก หน้าที่ของมันในขณะนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงแต่เป็นการเลือกเก็บบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์ที่มีบทกำกับการแสดงเกิดหลังจากนั้นเป็นเวลาพอสมควร และหลังจากนั้นดูเหมือนว่าเมื่อเราพูดถึงคำว่า "ภาพยนตร์" การรับรู้ขั้นต้นของเราคือภาพยนต์ที่มีบทกำกับในการแสดงอย่างเช่นปรากฏในปัจจุบัน
อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เคยตั้งคำถามในข้อสอบปลายภาคสำหรับนักเรียนภาควิชาประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งถึงภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ว่าเราควรมองภาพยนตร์เรื่องนี้ในบทบาทของอะไร? ผมจึงขอคัดย่อจากความทรงจำคร่าวๆ มาเรียบเรียง โดยผมมีความคิดเห็นดังนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการสร้างหน้าที่ใหม่ของภาพยนตร์(อย่างน้อยก็สำหรับประเทศไทย)นั่นก็คือ เป็นการ "สร้างอนุสาวรีย์" ทางความคิดให้เป็นมรดกของคนรุ่นต่อๆ ไป

เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของภาพยนตร์อิงประวัติศาตร์โดยเฉพาะในตะวันออกก็คือส่วนใหญ่เป็นการบอกเล่าแบบมุขปาฐะ ซึ่งไม่มีความชัดเจนเพราะไม่มีการจดบันทึกโดยละเอียด ถึงแม้จะมีการค้นคว้าและเก็บข้อมูลแต่ส่วนใหญ่ก็จะมีเพียงเค้าโครงเรื่องใหญ่ๆ ที่มีความเป็น Epic อยู่ค่อนข้างสูง[1]


ปัญหาก็คือสิ่งเหล่านี้ได้เข้ามาเติมเต็มจินตนาการที่ขาดหายสำหรับแบบเรียนประวัติศาสตร์ในการศึกษาภาคบังคับที่ยังคงเว้าแหว่งด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ โดยหยาบๆ และนำไปออกข้อสอบเพื่อทดสอบความจำในชั้นเรียน
ถึงแม้ทีมงานจะมีการ "ออกตัว" ว่าเรื่องนี้มีการดัดแปลงจากเค้าโครงเรื่องและมีการค้นคว้าข้อมูลมาเป็นอย่างดี แต่ผู้รับสารย่อมได้รับการเติมเต็มตัวอักษรที่หายไประหว่างบรรทัดจากภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ
แน่นอนที่สุด อย่างน้อยภาพของพระนเรศวรที่คนรุ่นที่พ้นวัยศึกษาในรั้วสถาบันจะมีอยู่ในหัวก็คือภาพของผู้ชายหน้าไทย ใส่เสื้อผ้าสีดำและมีหมวกและเหล่าพลทหารที่ออกรบโดยมีโล่และผ้าประเจียดป้องกันตัว (หากคิดไม่ออกให้กลับไปหาธนบัตรชนิด 100 บาทรุ่นเก่า) ซึ่งเป็นภาพอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง ที่ตั้งอยู่ ณ อำเภอดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ที่ๆ เชื่อว่าเป็นจุดทำสงครามยุทธหัตถี


แต่เมื่อมีภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้น ภาพของพระนเรศวรในความรับรู้ของคนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพของพันโท วันชนะ สวัสดี ในบทพระนเรศวรทรงเกราะแบบยุโรป และประทับปืนแนบบ่าจากการโปรโมทผ่านสื่อต่างกลับเข้ามาแทนที่ และแย่งชิงการเป็นความรับรู้หลักของสังคมไปเสียแล้ว

เฉกเช่นเดียวกันกับเมื่อเราคิดถึงสมเด็จพระสุริโยทัย (ไม่ใช่ "สุริโยไท" ผมเคยถามเพื่อนที่จบโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ถึงเรื่องนี้เธอเคยเล่าว่าพอภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย หลายๆ คนบอกว่าชื่อโรงเรียนของเธอสะกดผิด ทั้งที่โรงเรียนของเธอมีอายุเก่าแก่กว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว) ภาพแรกที่คุณคิดถึงในจินตนาการย่อมเป็นภาพของหม่อมหลวง ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ในผมทรงกระทุ่ม จากความเชื่อเดิมที่ว่าผู้หญิงไทยไว้ผมยาว

ในกรณีระดับโลกที่ฮือฮาก็จากภาพยนตร์เรื่อง "Braveheart” เมื่อ Mel Gibson ผู้สวมบทวีรบุรุษชาวสก็อตต์นาม William Wallace ได้ถูกขอให้เป็นแบบในการจัดทำอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษคนดังกล่าวการเติมเต็มข้อความที่หายไปในหนังสือด้วยภาพจากภาพยนตร์นั้น ไม่น่าสนใจเท่ากับ "ข้อความ" และอุดมการณ์ที่ถูกแทรกและเติมเข้ามาระหว่างบรรทัดของบทภาพยนตร์

สิ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือ "อนุสาวรีย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้" นั้นทรงพลังกว่าอนุสาวรีย์ที่เป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวไปยืนถ่ายรูปเพื่อความบันเทิง เพราะมันเป็นการสถาปนาอำนาจนำทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ถูกฝังหัวมาโดยที่ผู้รับสารไม่รู้ตัวผ่านการบอกเล่าของตัวละครโดยทางตรงและทางอ้อม

ข้อสังเกตที่น่าขบขันก็คือทำไมเราสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับร้อยๆ ปีที่ผ่านไปได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างผ่านการศึกษาวิจัยของทีมสร้างภาพยนตร์ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านไปไม่นานอย่าง 14 ตุลา 16 หรือ 6 ตุลา 19 ที่ยังคงมีพยานปากสำคัญในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวนมากกลับไม่ถูกเลือกที่จะนำมาถ่ายทอด[2] สิ่งที่น่าสนใจก็คือเราไม่ค่อยจะมีภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย โดยเฉพาะหลังจากยุค 2475 ถ้าหากเราคิดถึงหนังพีเรียด เรามักจะมองย้อนกลับไปช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ หรือส่วนมากก็แค่อาศัยช่วงเวลาเป็นฉากหลังในการดำเนินเรื่องราว และส่วนใหญ่หนังประวัติศาสตร์ของไทยยังคงติดอยู่กับกรอบคิดของประวัติศาสตร์แบบ "ราชาชาตินิยม" ที่น่าสนใจคือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์ของไทยกลับไม่เคยมีการสร้างขึ้นอย่างจริงจัง

หนำซ้ำอนุสาวรีย์ที่เป็นตัวแทนของการต่อสู้เรียกร้องของประชาชน ยังถูกเตะถ่วงจนเวลาล่วงเลยเกือบ 30 ปีกว่าที่จะมีการสร้างขึ้น สิ่งเหล่านี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ หากอนุสาวรีย์เป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติ ทำไมเรื่องเหล่านี้จึงถูกดึงไว้ทั้งที่เป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัยและเป็นการต่อสู้ของ "ประชาชน"ไทย เพื่อประชาธิปไตยอันเป็นหลักสูงสุดของประเทศ หรือว่าจริงๆ แล้วเรามิได้ปกครองกันด้วยระบอบประชาธิปไตย? หรือว่าเรื่องราวเหล่านี้มันเป็นเสี้ยนหนามแทงตำใครหรือไม่?[3]
เพราะอนุสาวรีย์นั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาในทุกยุคทุกสมัยในการถ่ายทอด "มรดกทางความคิด" ของผู้มีอำนาจยุคต่างๆ เรามีวีรชนบ้านบางระจันในยุคที่ผู้นำต้องการให้เรามีความสามัคคี เรามีศาลพันท้ายนรสิงห์เพื่อเชิดชูความศักดิ์สิทธิ์ของนิติรัฐ[4] แล้วปัจจุบันใครเป็นผู้นำทางการเมืองของประเทศไทยที่ต้องการจะถ่ายทอดความคิดผ่านอนุสาวรีย์ในโลกเสมือนแห่งนี้?


คำถามที่สำคัญก็คือ ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เข้าฉายในช่วงเวลานี้กำลังจะบอก "ข้อความ" อะไรกับเรา? ผู้กำกับต้องการจะสื่อสารระหว่างบบรรทัดอะไรกับเรา? "ผู้อำนวยการสร้าง" ต้องการอยากให้เรามีทัศนคติแบบใด? หากเรามองให้ลึกๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ธรรมดา แต่มันกำลังจะกลายเป็นอนุสาวรีย์ทางความคิดความเชื่อที่พยายามจะสร้างมายาคติแบบใหม่ให้กับสังคม โดยเฉพาะคนที่เข้าไปดูและไม่ตั้งคำถามและเชื่อทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ
ถ้าคุณอยากรู้ ติดตามได้ทุกโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ....






เชิงอรรถ
[1] (ในกรณีภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การทำยุทธหัตถี ,การหลั่งน้ำสิโณธก และการชนไก่)
[2] (ที่จริงมีอยู่ 2 เรื่องคือ 14 ตุลา สงครามประชาชน ซึ่งที่จริงแล้วดัดแปลงจากหนังสือ "คนล่าจันทร์" ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งเป็นมุมมองของเสกสรรค์ต่อเหตุการณ์ต่างๆ และ "ฟ้าใสหัวใจชื่นบาน" ที่จงใจล้อเลียนกลุ่มนักศึกษาที่เข้าป่าในช่วงหลัง 6 ตุลา 19 ให้ลดความน่าเชื่อถือเรื่องอุดมการณ์ และบริษัทอำนวยการสร้างเป็นของทายาทคนหนึ่งของผู้บัญชาการทหารเรือของคณะ คมช. ฐิติพันธุ์ เกยานนท์ บุตรชายของ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์)
[3] กรณีดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจากภาพยนตร์สารคดี 100 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์นั้น มีการกล่าวว่าสาเหตุที่ท่านไม่สามารถกลับเมืองไทยได้จวบจนเสียชีวิตนั้น เพราะว่าผู้ปกครองและผู้มีอิทธิพลของประเทศเกรงกลัวท่าน เห็นได้จากความพยายามลบเลือนความทรงจำเกี่ยวกับท่านจากสังคมไทย แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของท่านเอง ชื่อถนนประดิษฐ์มนูญธรรม ซอยปรีดี พนมยงค์ หรือสถาบันปรีดี นั้นถูกตั้งขึ้นหลังจากการอสัญกรรมของท่าน
[4] (ทั้งสองเรื่องที่กล่าวถึงถูกจัดทำเป็นภาพยนตร์แล้ว โดยเรื่องพันท้ายนรสิงห์กำลังจะถูกทำเป็นละครทางช่อง 3 โดยมีคุณหญิงหม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา ภรรยาของท่ายมุ้ย ควบคุมงานสร้าง และบทประพันธ์โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภานุพันธ์ ยุคล)














http://www.redusala.blogspot.com/

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง










ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
ขณะที่ความสับสนเกิดขึ้นกับชีวิตน้อยๆของพวกเขาที่รู้ตัวดีว่าเป็นส่วนเกินของสังคมใ​นประเทศญี่ปุ่น หญิงไทยคนหนึ่งได้เล่าเรื่องราวของเธอให้ผมฟัง..ว่า


คืน..วันนั้นเธอได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนคนไทยด้วยกัน แต่อยู่คนละเมืองในแถวที่มีแผ่นดินไหวอย่างหนัก (เธอบอกชื่อเมืองแห่งนั้นมาให้ผมทราบแต่ผมเองมันเป็นคนความจำสั้นจึงจำไม่ได้ว่าเมือ​งที่เธอบอกอยู่นั้นเป็นเมืองอะไร) น้ำเสียงที่เธอได้ยินนั้นมีทั้งสะอื้นร่ำไห้ตื่นตระหนก คล้ายกับว่าควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ เธอพูดซ้ำๆซากๆอยู่แบบนั้น “ตัวเองพาเขากลับบ้านด้วยนะ เขาคิดถึงบ้าน” ตัวเธอผู้ที่เล่าให้ผมฟังนั้น เธออาศัยอยู่กรุงโตเกียวได้รับผลกระทบน้อยมาก แต่เหตุแห่งแผ่นดินไหวก็ทำให้ตัวเธอเองหวั่นไหวมิใช่น้อยเหมือนกัน ขณะที่เธอกำลังเล่นอินเตอร์เน็ตเพื่อฟังข่าวคราวจากเมืองไทย เธอต้องทิ้งทุกอย่าง แล้ววิ่งลงมาข้างล่างกลางถนนเช่นเดียวกัน สิ่งที่เธอฉวยเอามาได้ก็แค่กระเป๋าใส่สตางค์ที่มีอยู่ไม่มากนักเท่านั้น เธอยืนกอดอยู่กับหญิงชราชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่วิ่งหนีออกมาจากบ้านเช่นเดียวกัน

เธอตั้งสติได้เธอก็รีบโทรศัพท์กลับบ้านเล่าเหตุการณ์ให้แม่ที่เมืองไทยได้รับทราบเป็​นอันดับแรก จากนั้นสายโทรศัพท์ของเธอก็วุ่นวายด้วยการรับโทรจากเพื่อนๆคนไทยด้วยกันเองอีกหลายคน​ ต่างคนต่างปรับทุกข์กัน ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจกัน เล่าเรื่องราวแต่ละแห่งให้กันและกันฟัง

ผมเองเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับฟังการถ่ายทอดเรื่องราวจากเธอในวันแรกที่เกิดเหตุเช่นเดี​ยวกัน แต่ในขณะนั้นผมไม่พร้อมที่จะมานั่งเขียนการบรรยายจากปากของเธอลงในเว็บให้ผู้คนได้อ่​าน เหตุเพราะตัวของผมเองและข้อมูลที่เธอบอกกล่าวมามันยังสับสนกับข่าวทีวีเมืองไทยเป็นอ​ย่างมาก ผมเพียงแต่ได้รับฟังและปลอบใจเธอไปได้แค่นั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจที่ผมจะทำได้ในช่วงนั้นจริงๆ ในคำพูดที่สนทนากันนั้น มีคำอยู่คำหนึ่งที่เธอพูดใน ณ.ขณะนั้น “เธอไม่มีสีอะไรอีกแล้ววันนี้เธอคือคนไทย เธอรักประเทศไทย” ถ้าเธออยู่เมืองไทยอย่างสุขสบายเธอคงไม่ดิ้นรนมาหางานทำถึงประเทศญี่ปุ่นแบบนี้หรอก เธอลำบากเหลือเกินณ.ขณะนี้แต่บรรยายไม่ถูก

ผมก็ได้แต่ฟังและพยายามจินตนาการถึงภาพที่เธอบรรยายออกมา นึกถึงคนที่บ้านไฟไหม้ คนที่บ้านน้ำท่วมเขาตกอยู่ในสภาพเช่นไรในเวลานั้น เธอเองก็คงไม่ต่าง ที่ต่างกันนิดเดียวก็คือ เธอไม่ได้อยู่ในผืนแผ่นดินตัวเองเท่านั้น จะหาคนที่เอาอกให้เธอซบแล้วร่ำไห้ก็หาไม่ได้ จะหาคนที่หวังดีเรียกเธอไปทานข้าวด้วยกันก็ไม่มี หรือแม้แต่ในค่ำคืนวันนั้นจะมีใครซักคนให้ที่พำนักเธอในคืนอันหนาวเหน็บและว้าเหว่ก็​ไม่มีทั้งนั้น เธอต้องเข้มแข็งด้วยตัวของเธอคนเดียวเพียงลำพัง ในส่วนเกินของพลเมืองของเขา ในค่ำคืนอันหฤโหดนั้น มันแสนทรมานทั้งร่างกายและจิตใจเธออย่างแสนสาหัสยิ่ง
ในคำพูดตอนหนึ่งที่เธอพยายามบอกผมว่า”เราอย่ามองการช่วยเหลือของรัฐบาลไทยหรือสถานทูตไทยในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องการเมื​องกันไปหมด” ครั้งนี้ขอสักครั้งได้ไหม ให้เรามองว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน ความช่วยเหลือจากไหนก็ไม่สำคัญ แต่ถ้าเป็นของคนไทยที่หยิบยื่นมาให้แล้วนำมาถึง เธอจะรู้สึกอบอุ่นและดีใจมาก และบอกกับผมด้วยว่า “ถ้ารู้ไม่จริงอย่าเอาเรื่องนี้ไปโยงกับการเมือง อย่าตั้งกระทู้เป็นประเด็นในเรื่องนี้เป็นอันขาด”

ทั้งหมดนั่นคือความประสงค์จากเธอที่สื่อมาถึงผม ในช่วงวันแรกที่เธอได้รับชะตากรรมที่ประเทศญี่ปุ่น ผมเองได้แต่ฟังและเคารพในความคิดเห็นของเธอ ผมไม่เคยนำเรื่องนี้มาเขียนในที่แห่งไหนเลยในตอนนั้น

เมื่อวานผมได้รับโทรศัพท์จากเธอผู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง เธอกล่าวกับผมในสิ่งแรกที่เธอโทรมา “ได้อ่านทวิสเตอร์ของนักข่าวช่องสามหรือไม่ เนื้อหาในนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ประเทศไทยเลวแบบที่นักข่าวผู้นั้นรายงานมาจริงๆ” ผมขออนุญาตเธอขออ่านก่อนแล้วค่อยโทรมาอีกครั้ง แล้วผมก็เปิดเข้าไปอ่าน อย่างแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือคนไทยที่ทำกับคนไทยในต่างแดนได้ถึงเพียงนี้ หลังจากที่ผมได้อ่านจบแล้ว ผมก็ติดต่อเธอกลับไปใหม่ อยากฟังเรื่องราวจริงๆจากปากเธอบ้างอะไรคืออะไร

คำพูดเธอเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยกล่าวกับผมว่า “เธอไม่มีสีอะไรอีกแล้ววันนี้เธอคือคนไทย เธอรักประเทศไทย” เธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอใช้คำพูดที่คล้ายแบบนี้ “ประเทศคุณมันทุเรศจริงๆ มันไม่มีสำนึกของความเป็นคนอยู่ในผู้บริหารของประเทศอยู่เลย คนกำลังจะตาย เดือนร้อน ยังสามารถมาหากินกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว ลำบากยากเข็นได้” (สังเกตคำว่า ประเทศคุณ ที่เธอใช้มันบ่งบอกว่า เธอแค้นถึงขนาดไม่เรียกว่าประเทศเราอีกแล้วประเทศไทยไม่ใช่ประเทศของเธออีกต่อไปแล้ว​)

เรื่องที่เธอเล่าก็เรื่องการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่เอาเครื่องบินซี130ที่เป็นเครื่อง​บินของรัฐโดยแท้ไปรับแล้วคิดราคามากกว่าเครื่องบินโดยสารปกติถึงสองเท่า เรื่องการเดินทางจากเมืองหนึ่งมาอีกเมืองหนึ่งเพื่อมาขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย ยังโหดร้ายพอที่จะหากำไรจากการย้ายคน ใครไม่มีเงินแทบจะไม่ได้ไปหรือถ้าไปก็ต้องรับประกันว่าจะนำเงินส่วนนี้มาชำระให้ในภา​ยหลัง สิ่งของช่วยเหลือไม่มีใครได้รับจากประเทศไทยเลย มีแต่ออกข่าวเอาหน้ากันแค่นั้นว่าแจกของกันที่นั่นที่นี่ถ่ายภาพออกข่าวกันแค่นั้น ทั้งที่สิ่งของเหล่านั้นคือเงินบริจาคจากประชาชนคนไทยในประเทศไทยแท้ๆ ไม่ใช่เงินงบประมาณที่เป็นภาษีซักหน่อย

รู้ไหมคนพวกนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? นี่คือคำถามที่เธอกำลังจะบอก
บางคนทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่สามารถนำติดตัวมาด้วยได้เลย ที่อยู่อาศัยพังพินาศไปกับตา ตนเองกระเสือกกระสนหาที่ปลอดภัยพักพิง หาน้ำดื่มเพื่อประทังชีวิต หาอาหารเพื่อยังชีพ เศษเงินที่พอมีติดตัวมาก็น้อยนิดเท่าที่ในกระเป๋าตนเองจะมีติดตัวไว้
ธนาคารก็ปิดกิจการไม่สามารถเบิกเงินได้ จะหาเงินมาจับจ่ายก็ไม่มี หรือถ้ามีก็ต้องแบ่งปันกันซื้อ มันสาหัสสากันเหลือเกินกับชีวิตที่ตกระกำที่นั่นในตอนนั้น แล้วมาเจอกับน้ำใจคนไทยที่ออกทีวีเผยแพร่ไปในญี่ปุ่นจะช่วยเหลือเงิน200ล้านบาท จะเอาเครื่องบินมารับคนไทยกลับบ้าน ชีวิตเหมือนได้เกิดใหม่รอความหวังที่คนไทยด้วยกันจะมาช่วย

เสียงเหมือนกำลังเช็ดขี้มูกจากปากผู้ที่เล่าให้ผมฟัง “สถานทูตไทยมันเฮี้ยสุดๆ”แล้วน้ำเสียงนั้นก็ขาดหายไปสักพัก มีเสียงคล้ายคนเป็นหวัดพูดต่อ “มันมองคนไทยเหมือนไม่ใช่คน พวกเราถามมันมันเบือนหน้าหนีไม่ให้คำตอบคล้ายกับว่าเราจะไปขอส่วนบุญของมันอย่างนั้น​”
ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คนไทยอยู่ในสถานทูตมันไม่เอาใจใส่พวกเรากันเลย มันเหยียบทับถมเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้มันจะมาทำไม หรือมารอให้พวกเราตายแล้วมันจะได้ทำประวัติให้
ความช่วยเหลืออย่าว่ามีเลย เอาว่าแค่ให้ความสะดวกบ้างมันยังไม่ยื่นให้ กว่าจะทำเอกสารให้มันทำอย่างกับว่าพวกเราเป็นพวกโรคติดต่อไม่อยากรับกลับเมืองไทยแบบ​นั้น ทำกันขอไปทีให้หมดเวลาแล้วก็กลับบ้านไปนอน

เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเองซะอีกที่ยังเห็นคนไทยเป็นคนอยู่ ยังช่วยเหลือดีกว่าสถานทูตไทยซะอีก ทั้งที่เขาเป็นคนละชาติกับเราแท้ๆ
“ส่วนความดีขอคนไทยก็มีสำหรับพวกคณะอื่นๆที่ติดตามมาสนอกสนใจฟังคำถาม พยายามหาทางออกให้” อันนี้ผู้ที่เล่าเน้นหนักหนาต้องบอกกล่าวให้ผู้คนในเมืองไทยได้รับรู้ด้วย

ผมฟังจบน้ำตาของผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผมพยายามไม่โยงเรื่องการเมือง ผมพยายามให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ผมพยายามมองว่ารัฐบาลไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นจริงๆเพียงแต่ผู้ปฏิบัติมันทำงานเกินหน้​าที่แค่นั้น
แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว คำถามแรก.ที่ตั้งขึ้น...เรื่องนี้ใครเลวที่สุด

คำตอบ...สถานทูตไทยในญี่ปุ่น

แล้วตั้งคำถามต่อ..สถานทูตไทยในญี่ปุ่นได้รับนโยบายจากใคร

คำตอบ..แน่นอนว่าต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศ

ทีนี้คิดต่อไป..กระทรวงการต่างประเทศใครเป็นเจ้ากระทรวง

คำตอบ..ก็แน่นอนว่าคนในโควต้าของพรรคประชาธิปัตย์ที่เอาเศษมนุษย์ที่ชื่อ “กษิต” มานั่งเป็นเจ้ากระทรวงนี้ และ ไอ้มนุษย์ตนนี้ใช่หรือไม่ที่มีวิสัยทัศน์ต่ำแบบสุดๆ เราๆท่านๆคงไม่ต้องบรรยายว่าไอ้มนุษย์ตนนี้มันระยำแค่ไหน

ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโทษใครไม่ได้เลยนอกจาก รัฐมนตรี “ไอ้กษิต” และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ “อภิสิทธิ์”เท่านั้นที่รู้เห็นเป็นใจกันและสั่งการไปยังสถานทูต แต่ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด

คำถามที่ยังคาใจ..เครื่องบินซี130เป็นของใคร
คำตอบ..เป็นของทหารอากาศที่เอาไว้บริการกองทัพและประชาชน ค่านักบิน ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุงเอาเงินมาจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น

คำถามต่อมา..แล้วทำไมต้องเก็บเงินค่าโดยสารจากประชาชนด้วยไหนบอกว่ากองทัพของประชาชน
คำตอบ..มันเป็นนโยบายแน่นอนเรื่องแบบนี้ถ้าไม่มีคำสั่งไม่มีใครกล้าทำ กองทัพไม่ใช่รัฐวิสาหกิจเพื่อหวังผลกำไร ดังนั้นการกระทำครั้งนี้แน่นอนว่าเป็นนโยบาย

คำถาม..นโยบายนี้ใครเป็นผู้ออกคำสั่ง
คำตอบ..ใครก็ไม่รู้ได้ แต่ที่แน่ๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องรับผิดชอบแน่นอนและคนที่เป็นรองนายกฝ่ายความมั่นคงต​้องรับทราบเรื่องนี้ด้วย เพราะมันทั้งหมด ร่วมกันรู้เห็นเป็นใจที่จะเอาประโยชน์จากการทุกข์ยากของประชาชนในครั้งนี้ เลยปล่อยเรื่องแบบนี้ออกมา แดกเข้ากระเป๋าพวกมันสองต่อ ทั้งเบิกเงินหลวงเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงานและตบทรัพย์ปล้นกลางแดดประชาชนอีกต่อหนึ่ง​

ทั้งหมด มันเป็นความระยำที่เกิดขึ้นกับคนไทยในต่างแดนทั้งสิ้น เกิดขึ้นเพราะไม่ใช่เรื่องอื่นเลย ไม่ใช่เรื่องการเมืองด้วย แต่เป็นความละโมบโสมมของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ทั้งนั้น มันเกิดแล้วเกิดอีกซ้ำซากอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ ขนาดคนกำลังใกล้ตายขอความช่วยเหลือมันยังขูดรีดเขาได้ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจิตใจไอ้คนจำพวกนี้มันทำด้วยอะไร มันใช่คนหรือเปล่า

ว่าจะไม่เขียนเกี่ยวกับการเมืองแล้วกระทู้นี้แต่ก็อดไม่ได้
ถ้ารัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกจริงๆมันจะทำเช่นนี้ไหม?
ถ้าประเทศชาติ ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริงจะเป็นเช่นนี้ไหม?
หรือถ้าประเทศนี้ ไม่มีอัปรีย์สิ่งสถิตอยู่ประชาชนจะสุขสบายกว่านี้ไหม?









หมายเหตุ..ข้อเขียนชิ้นนี้ทั้งหมดมอบให้กับคนไทยในญี่ปุ่นทุกท่านและผู้ที่ให้ข้อมูลที่ไม่ประส​งค์จะออกนามในห้องฟรีไทยแลนด์ด้วยครับ
http://www.freethailand.net/




--------------------------------------------------------------------------------
จากเว็บไซต์ http://www.internetfreedom.us/thread-19054.html
--------------------------------------------------------------------------------
RE: ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
...น่าแปลกใจ ที่ความกล้าที่จะแสดงออก.....ของข้าราชการ เหล่านี้...มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามค่านิยมของเผด็จการเจ้าของระบอบ จนกลายเป้นวัฒนธรรม ที่สืบทอดกันมาให้เห็นกันจริงๆ ..การมองคุณค่าของชีวิตคนไทยนั้นมันไร้ค่า มันไม่มีความหมาย จะทำอะไรเราก็ได้ที่พวกมันต้องการ และต้องการแสดงออกถึงอำนาจ อิทธิพล บารมี และการสร้างภาพให้อยู่เหนือพวกเราประชาชนทั่วไป..เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบ .เหตุการณ์นี้ ผู้ตกเป็นเหยื่อของความละโมภนั้น ยัังไม่ตาย แต่มีสิทธิถึงตายได้ตามเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น..จึงเป็นโอกาสอันโสมมของเหล่าข้าราขการขั่วเหล่านี้ที่ต้องการปล้นทรัพย์บนความทุกข์ย​ากและความตาย และมิได้ใยดีต่อภาระหน้าที่ใดๆในการรับใช้ประชาชนตามคำโฆษณาชวนเชื่อตามระบอบการปกคร​อง(ประชาธิปไตยจอมปลอม) เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อ ค่านิยมที่พวกเขาเชื่อถือและปฏิบัติอยู่เสมอมา อีกทั้งประสพการณ์ที่เกิดขึ้นและมีอยู่จริง มันเป็นตัวตอกย้ำความเชื่อ ที่่ว่าแม้แต่การฆ่าทิ้ง ยังสามารถทำได้มาแล้วหลายรอบและได้เกิดขึ้นจริง ...ไม่ว่าจะเป็น 14 ตค 2516, 6 ตค 2519, 17 พค 2535, 25 ตค 2547(ตากใบ), 13 เมย 2552, 10 เมย-19 พค 2553 แต่ทั้งหมดนี้ ผลที่ปรากฏก็คือ ไม่เคยมีผู้รับผิดต่อการตายของประชาชนคนเหล่านั้นที่ได้ตายไปเพราะการกระทำของฝ่ายเผ​ด็จการเจ้าของระบอบ เรื่องแบบนี้สามารถจะเกิดขึ้นได้เสมอ... สำหรับ การค้าความตาย อันเป็นค่านิยมของเผด็จการเจ้าของระบอบ
....นปช. แดงทั้งแผ่นดิน จะศรัทธาและเชื่อถือในค่านิยมแบบไหน ...โปรดเลือกเอา...
--------------------------------------------------------------------------------

RE: ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
อ่านแล้วเศร้าใจค่ะ ไอ้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราไม่เคยเห็นหัวคนไทย ทำเพื่อให้ได้หน้าได้ตา
มีภาพออกทีวี แค่นี้เองเหรอ เงิน 200 ล้านที่ไปช่วยญี่ปุ่นหมายความว่าคนไทยในญี่ปุ่นไม่มีสิทธิ์ใช้
เงินส่วนนี้เลยเหรอ มันไม่เฮงซวยไปหน่อยเหรอ หวังว่าบทความนี้ไอ้ผู้ใหญ่ที่ว่าคงเข้ามาอ่านกันน่ะ
จะได้รู้ว่านี่คือ "ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้"

--------------------------------------------------------------------------------
RE: ความในใจของคนไทยในญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากใจ เข้ามาสู่ใจผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้
ผมอ่านแล้วเศร้าครับ น้ำตาผมมันเอ่อล้นออกมาได้ยังไงไม่รู้
หวนนึกถึงภาพที่เคยเห็นทางทีวี เครื่องบินไทยลงจอด
มีทหารไทยขับรถมอไซพร้อมอาวุธออกมาจากเครื่องบิน
ภาพคนไทยจำนวนมากกำลังเดินไปขึ้นเครื่องบินลำนั้น
ทหารไทยบนรถมอไซรายล้อม เพื่อพิทักปกป้องคนไทยให้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
ใครเคยเห็นภาพนี้เหมือนที่ผมเคยเห็นบ้างใหมครับ
--------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

ระวัง!แผนลับทำลายแดงทางอินเตอร์เนท

แผนลับทำลายแดงทางอินเตอร์เนท

โดย ปาแด งา มูกอ
24 มีนาคม 2554

วันนี้ผมได้กลิ่นบูดูทางภาคใต้ บวกกับกลิ่นปลาร้า ที่ภาคอีสาน กลิ่นนี้ไม่สู้จะหอมซักเท่าไหร่

เพราะมันเป็นกลิ่นที่มาจากแผนลับ แผนหนึ่งที่หน่วยความมั่นคงกำลังปฏิบัติงานอยู่ในขณะนี้
ผมเพียงเตือนให้ท่านชาวเว็ปเสื้อแดงทุกท่าน ได้โปรดใช้วิจารณญาณ โปรดใช้สติให้รอบคอบ
เพราะพวกเราส่วนใหญ่มันยังมือใหม่ในเรื่องของโลกไซเบอร์ พลั้งเผลอหลับในอาจลงข้างทางหรือตกเหวสูงได้


แผนลับที่กล่าวถึง เริ่มมีการวางแผนในรูปแบบใหม่เพื่อให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ภายหลังที่แกนนำทั้ง 7
ได้รับการประกันตัวออกมาจากบ้านไทรทองหลังใหญ่

หลังจากที่เพลี่ยงพล้ำกับชาวเนทที่โตวันโตคืนในช่วงกลุ่มเสื้อแดงกำลังจะรวมพลังครั้​งยิ่งใหญ่
ที่เพลี่ยงพล้ำก็เกิดจากการหวงความรู้ หวงวิชา ของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงนั่นเอง
กลัวคนอื่นเขาจะเก่งกว่า หรือขึ้นมาเทียบรัศมี

อย่างเช่นพ่อญาณแห่งดีเอสไอ สมัยอยู่กรมตำรวจก็อย่างงั้นๆ ได้เปรียบกว่าตำรวจคนอื่น
ที่ไม่ต้องออกไปโบกจราจรตากแดดตากฝน เลยมีเวลาฝึกฝนเล่นเนทจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเนท
แต่เชี่ยวชาญไปในทางจับผิดชาวบ้านนี่ซิ น่ากลัว

ผมฟันธงได้เลยครับ ว่า ในหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วย มีเจ้าหน้าที่ไม่กี่ตัวครับที่เชี่ยวชาญในเรื่องเนท
ในเรื่องแฮกเกอร์โดยเฉพาะ

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้หน่วยงานดังกล่าวจำเป็นต้องสังคายนาครั้งใหญ่
เพื่อให้ทันสมัยเท่าเทียมกับชาวเนทเอกชนทั้งหลายที่กำลังแพร่ขยายเครือข่ายมากขึ้นเร​ื่อยๆ

แผนลับครั้งนี้ มันก็ยังหนีไม่พ้นในวงจรอุบาทว์แบบเก่าๆอีกล่ะครับ
อย่างที่ผมบอกไปแล้วหลายครั้งหลายหนแล้วครับว่า สงครามไซเบอร์ มันได้เริ่มขึ้นแล้ว
ทีนี้ใคร ฝ่ายไหนจะเก่งกว่าใคร เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ

แต่เนื่องจาก สงครามรูปแบบใหม่นี้ พลังมวลชนคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ระดับรากหญ้า
ผมกลัวว่าบรรดาท่านลุงป้าน้าอาว์จะตามไม่ทัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวเนทตัวจริง ของจริง
ของปลอมไม่เกี่ยวน่ะเว้ย ทุกท่านต้องออกมาช่วยกันน่ะครับ ถล่มแม่งไปเลย

ประเทศไทยถึงเวลาแล้วที่ต้องสู้กันแบบนี้ เรามันมีแต่เพียงปืนฉีดน้ำอันเดียวจะไปสู้กับมันได้ยังไง
ก็ต้องสู้กันแบบเนทๆนี่แหล่ะ


แผนลับรูปแบบใหม่ที่กล่าวถึง มีดังนี้ครับ


1.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งรับผิดชอบเรื่อง สงครามไซเบอร์โดยเฉพาะ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เชี่ยวชาญทางเนท บุคลากรที่เชี่ยวชาญเรื่องเนท เรื่องแฮกเกอร์จากเอกชน
2. เริ่มปฏิบัติงานสืบสวน สืบหา ติดตาม บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ฝักใฝ่กลุ่มเสื้อแดง
3. แยกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ใครแดง ใครเหลือง ใครเขียว ใครช้ำเลือดช้ำหนอง
4. ค้นหาแกนนำ,หัวหน้า,ผู้ริเริ่ม ในกลุ่มเป้าหมาย ออกจากแนวร่วมหรือกลุ่มผู้สนับสนุน
5. ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนสรุป
6. รวบรวมรายชื่อแกนนำ,หัวหน้า,ผู้ริเริ่ม ไว้ทั้งหมด
7. ตรวจสอบประวัติ บรรดาแกนนำ,หัวหน้า,ผู้ริเริ่ม
8.-9. ปฏิบัติการ เข้าแฝง เข้าร่วม เข้ากลุ่ม กับกลุ่มเป้าหมายในทันที
10. รวบรวมหลักฐาน การนัดหมาย การเคลื่อนไหว
11. จัดการทำลาย ( มี 2 รูปแบบ แบบที่ 1 ดำเนินการทางกฎหมาย แบบที่ 2 เป็นผู้หายสาบสูญ)


นี่คือ แผนลับทำลายแดงทางอินเตอร์เนท


FACEBOOK ดีจริงหรือ???

ทีมนักวิจัยด้านความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ตเผย ผู้ใช้งานเว็บไซต์ สังคมออนไลน์ชื่อดัง facebook
ถูกแฮกเกอร์จารกรรมข้อมูลกว่า 1.5 ล้านล็อกอินแล้ว...

ทีมนักวิจัยด้านความปลอดภัยในอินเทอร์เน็ต จาก VeriSign iDefense Labs
ระบุว่า ชื่อล็อกอินผู้ใช้งานเว็บไซต์สังคมออนไลน์ยอดนิยม หรือ Facebook กว่า 1.5 ล้าน
ผู้ใช้งาน อาจถูกนักจารกรรมข้อมูลหรือแฮคเกอร์ ลักลอบนำ USERNAME และ PASSWORD
ไปขายในตลาดมืดกว่า 1 ล้าน 5 แสนบัญชี ประกาศขายคืนเจ้าของเดิมในเว็บไซต์ Carder.su ของรัสเซีย

ห้องวิจัยดังกล่าวอ้างว่า มีนักจารกรรมข้อมูลที่ชื่อ เคอร์ลอส (kirllos) ประกาศนำบัญชี FACEBOOK ออกมาขาย
โดยตั้งราคาล็อกอินตามจำนวนเพื่อน อาทิ หากมีเพื่อน 10 คน จะสนนราคาอยู่ที่ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ราว 800 บาท) และหากมีเพื่อนมากกว่า 10 คนขึ้นไป ราคาจะเพิ่มเป็น 45 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,450 บาท )
และอาจเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 32,300 บาท)

ริก ฮอเวิร์ด ผู้อำนวยการ VeriSign iDefense Labs กล่าวว่า กรณีขโมยล็อกอินเว็บไซต์สังคมออนไลน์
มาขายอย่างผิดกฎหมาย เกิดขึ้นมากที่สุดในบริเวณทางตะวันออกของยุโรป รวมถึงในสหรัฐฯ
โดยวิธีการจะมีการสร้างหน้าเวปเทียม เพื่อให้ผู้ใช้บริการกรอกข้อมูล USERNAME และ PASSWORD
รวมไปถึงการติดตั้งซอฟต์แวร์เพื่อจำการใส่รหัสบนแป้นพิมพ์ ข้อมูลสำคัญที่บรรดานักจารกรรมข้อมูลต้องการ
คือวัน เดือน ปีเกิด ที่อยู่ โทรศัพท์ เพื่อนำไปใช้ปลอมลักษณะบุคคล ซึ่งอาจนำไปใช้ในการปลอมการทำธุรกรรมต่อไป

ขณะที่โฆษกของ Facebook แบรี่ ชนิทท์ พยายามติดต่อล่อซื้อข้อมูลจาก เคอร์ลอส "kirllos"
นักจารกรรมข้อมูล กลับคืนมาแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ

การจารกรรมข้อมูลส่วนตัวทางอินเทอร์เน็ต นับเป็นอาชญากรรมอีกประเภทหนึ่ง
ซึ่งแฮกเกอร์จะจัดการเปลี่ยนพาสเวิร์ดเดิมของผู้ใช้งาน ทำให้เจ้าของตัวจริงไม่สามารถเข้าสู่ระบบใช้งานได้
รวมถึงอาจปล่อยสแปม หรือโปรแกรมอื่นๆ เพื่อทำลาย และก่อกวนระบบ หากเจ้าของต้องการข้อมูลทั้งหมดคืน
ต้องมีการแลกเปลี่ยนบางประการ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเรียกเก็บเงิน

สำหรับผู้ใช้งานเว็บไซต์สังคมออนไลน์ที่เกรงถูกจารกรรมข้อมูลนั้น
สามารถแจ้งได้กับศูนย์ช่วยเหลือ Help Centre ของเว็บไซต์นั้นๆ

************************************************************
http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_24.html
************************************************************

มิติใหม่

โอ..พระเจ้าจอร์ช
ใครเลยจะคิด ว่าจะทันได้เห็น ได้สัมผัส กับโลกใหม่ที่เร็วไวเช่นนี้
การระดมสมองออนไลน์ เรื่อง การเมือง การปกครอง

..อะเมซิ่ง
..









ขอเชิญร่วม​สัมนาด้วยกา​รระดมสมองเพื่​อทำ workshop มาตรา 112


กติกา
1.แสดงความคิดเห็นที่เป็นไปได้ตามความคิดเห็นของท่านในแบบเชิงวิชาการ
(ห้ามใช้ข้อความวิจารณ์หรือต่อว่าความคิดอื่น)
2.ขอให้เสนอไปเป็นตามแนวทางที่กำหนด โดยกรุณาพิมพ์หัวข้อแนวทางปฎิบัติที่....
ก่อนแล้วพิมพ์การวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียของแนวทางที่เสนอ(อาจจะเสนอเพียงแค่แนวทางเดียวก็ได้
หรือสองแนวทางก็ได้ หรือทั้งสามแนวทางก็ได้)
3.ขอความกรุณาอย่านำเสนอเป็นภาพใหญ่แบบรวมๆ
ขอให้นำเสนอเป็นไปตามประเด็นของหลักการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ


แนวทางยกเลิกกฏหมายอาญา มาตรา 112

แนวทางปฎิบัติที่ 1 เข้าสู่ระบบรัฐสภา

ข้อดี -เป็นการปฎิบัติตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริ์เป็นประมุข
ข้อเสีย -การเลือกตั้งในวันข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอน
-อาจจะไม่ผ่านการลงมติในรัฐสภาเพราะมีเสียงข้างน้อย
-ใชระยะเวลาค่อนข้างนานเพราะต้องผ่านสองสภา
-ระบบสภาอาจจะใช้การทำประชาพิจารณ์เป็นเครื่องมือ


แนวทางปฎิบัติที่ 2 รอให้ผู้มีบุญตายก่อน

ข้อดี -มีโอกาสและความเป็นไปได้สูงในการยกเลิกมาตรา 112
-เหลือเวลาน้อย ประชาชนผู้รักประชาธิไตยรอได้ แต่ผู้มีบุญรอไม่ได้
-จะมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตยลุกขึ้นมาเรียกร้องมากขึ้น
-ความลับเกี่ยวกับผู้มีบุญจะถูกเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อเสีย -พวกกลุ่มอำมาตย์และสมุนจะอ้างเหตุผลการดำรงอยู่ของมาตรา 112
-ผู้มีบุญคนต่อไปมีทัศนคติเรื่องมาตรา 112 ในทิศทางใด
-การทำรัฐประหารเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้
-จะเกิดความแตกแยกของกลุ่มต่างๆที่เคยอยู่ใต้ผู้มีบุญต้องเผชิญหน้ากันเอง ส่งผลกระทบต่อฝ่ายประชาชน


แนวทางปฎิบัติที่ 3 ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยร่วมกันทำการปฎิวัติ(ความคิด วัฒนธรรม ระบบ โครงสร้าง ฯลฯ)
ข้อดี -หากประชาชนปฎิวัติสำเร็จก็สามารถยกเลิกมาตรา 112 ได้ทันที
-แนวทางปฎิวัติเป็นแนวทางแบบก้าวหน้า ผู้รักประชาธิไตยเห็นพ้องกันแล้ว
-ฉันทามติของชาวโลกเห็นด้วยกับการยกเลิกกฏหมายมาตรา 112 เพราะขัดต่อสิทธิมนุษยชน

ข้อเสีย -ทัศนคติของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมีหลายระดับอาจจะมีปัญหาบ้าง
-ไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ต่างๆในอนาคตได้

**********************************************************
จะไปร่วมแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ที่นำเสนอประเด็นนี้
สุดยอดจริงๆ...
**********************************************************

นิทานยายซูซิ
















เรื่อง เพชรฆาตสีแดง

นายมาแล้ว มียักษ์ 3 ตา(แต่ตาสองข้างมองไม่เห็น)ออกอาละวาดชาวบ้านเสื้อแดงอย่างหนัก
ยักษ์ตนนี้มีวิชาจำแลงกายชั้นยอด คนมองไม่เห็น ฆ่าคนหรือสั่งฆ่าคน คนก็มองไม่เห็น

วันหนึ่งมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งชื่อนางสาวอินเตอร์เน็ต กับนายมือถือ3 จี เดินผ่านมาในหมู่บ้านนี้
พวกเขามีแว่นวิเศษมองเห็นตัว ยักษ์3ตา เขาก็จัดการมัดยักษ์ตนนี้ด้วยเชือกไวไฟ บรอดแบนด์ Cbox
เฟซบุค วิกิลีคส์ สไกฟ์ อีเมล์ และภาพถ่าย ซีดี mp3 mp 4 จนมันดิ้นขลุกขลักๆ กลางลานหมู่บ้านเสื้อแดง

ชาวบ้านเสื้อแดงต่างๆ ก็รีบมามุงดูจนตาสว่าง แล้วก็เริ่มเถียงกัน
"กูจะฆ่าด้วยการเฆี่ยนด้วยผ้าไหมอันอ่อนนุ่ม และถ้อยคำสรรเสริญ"นายขวัญชัยพูดทั้งน้ำตานองหน้า
ฝ่ายยักษ์ได้ยินก็ร้อง่า "ดีมากๆๆๆ"

"ฉันจะฆ่ามันด้วยวิธีการที่การถูกกฎหมายและให้ยักษ์เป็นประธาน" นางธิดากล่าวด้วยความมั่นใจ
พร้อมชายตาค้อนแก่ชายชราที่ชื่อ สุรชัย แล้วกล่าวต่อว่า "เราจะแก้ข้อกล่าวหาของยักษ์สามตาในศาลยุติธรรม
ที่ยักษ์บังอาจกล่าวหาว่าเราล้มสถาบันยักษ์ ความจริงเรามีหลักฐานว่าเราไม่เคยคิดล้มยักษ์เลย" นางธิดาให้ความมั่นใจ

เหวง ตู่ เต้น วีระ กล่าวพร้อมกันว่า " พวกเราไม่ควรด่ายักษ์และควรเอายักษ์มาเลี้ยงไว้"
ยักษ์ก็ร้องว่า "โอดีมาก เราเห็นด้วย"

ฝ่ายนักศึกษากล่าวว่า "ต้องเอายักษิ์ขึ้นศาลประชาชน ตอนนี้ต้องหาทางจัดตั้งกิโยตินไว้รอเลย"
แต่ฝ่ายแดงเปลี่ยนระบอบคัดค้านว่า "ต้องยิงเป้า" ต่างก็เถียงกันไปมา


ฝ่ายยักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจรีบเรียกให้นางธิดาและนายขวัญชัย ตู่ เต้น วีระ เหวงให้ช่วยเหลือด่วนด้วย
โดยบอกว่า พวกนักศึกษาเป็นแดงเทียม และสร้างความแตกแยก


นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า

1.ถ้าเถียงกันว่าจะฆ่ายักษ์หรือจะเลี้ยงยักษ์ แสดงว่า ขัดแย้งเรื่องยุทธศาสตร์ และเป้าหมาย
"ฝ่ายหนึ่งเห็นยักษ์เป็นศัตรู ฝ่ายหนึ่งเห็นยักษ์เป็นมิตร (ยักษ์ชอบ)"

2.ถ้าเถียงกันว่า "จะฆ่ายักษ์ด้วยกิโยติน หรือฆ่าด้วยยิงเป้า" แสดงว่า ขัดแย้งทางยุทธวิธี
(ยักษ์ไม่ชอบ เถียงกันเสร็จ ยักษ์ก็จะถูกนำตัวไปประหารชีวิตเหมือนกัน)

ส่งต่อให้แกนนำ นปช.รอ.ด้วย เขาอยู่ในคุกนาน ไม่ค่อยได้อ่านความเห็นที่แตกต่าง

*************************************************************
ได้นิทานเรื่องนี้จากอีเมล์จ้า....
ยามเย็นวันที่ 24 มีนาคม 2554
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ...เจ้ายักษ์สามตา
*************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

ใครเผา

ใครเผา central world














โดยคุณ Nuufon Internetfreedom
ถอดคำอภิปรายของ สส.วรวัฒน์ อภิญญากุล สส.แพร่ เขต 3


ท่านประธานที่เคารพครับ

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ผมต้องขออนุญาตฝากคำขอโทษท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และท่านรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผ่านท่านประธานไปด้วยครับ ว่า คำอภิปรายของผมในวันนี้ อาจจะทำให้ท่านทั้ง 2 รู้สึกไม่สบายใจเพราะ การที่ผมอภิปราย แล้วทำให้ท่านทั้งสอง รู้สึกว่า การตอบคำถามในสภาผู้แทนราษฏร เพื่อยืดเวลาการแสวงหาข้อเท็จจริงออกไปนั้น วันหนึ่งมันก็จะถึงวันที่ มีหลักฐาน และพยาน ยืนยันอย่างชัดเจน ว่า ท่านทั้ง 2 เป็นผู้บริหารประเทศ และกล่าวคำโกหกกลางสภานั้น! เป็นการที่ ทำให้ท่านต้องหมดเครดิตทางการเมือง และต่อไป ท่านพูดอะไร ก็คงจะเชื่อได้ยาก

นับตั้งแต่วันที่ ท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตอบคำถามผมในสภาว่าท่านไม่เชื่อข้อมูลของผม แต่ท่านบอกว่าท่านเชื่อคำพูดของยามในเซ็นทรัลเวิลด์มากกว่านั้น นับตั้งแต่วันที่กลุ่ม นปช.ถูกควบคุมตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นั้น

ผมก็ให้ความพยายามในการศึกษาสืบเสาะเพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าใครเป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ และก่อให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนึง ในกรุงเทพมหานครกันแน่ แต่ปริศนาว่าใครเป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ก็ถูกกลบด้วยการประชาสัมพันธ์และการ สร้างกระแสของรัฐบาลว่าคนเผาคือพวกเสื้อแดงและการตอกย้ำเช่นนั้นก็ทำให้ทุก คนในกรุงเทพเชื่อได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่ได้รับผลกระทบมากๆ และก็ไม่อยากเชื่อว่าทางรัฐบาลจะกล้าสั่งการให้มีการเผาบ้านเผาเมืองด้วยตน เอง ก็คงเป็นพวกเสื้อแดงนั่นแหละ และเรื่องมันก็ค่อยๆเงียบหายไป


แต่ท่านประธานครับ ในใจผมก็ยังมีปมที่เคลือบแคลงสงสัยอยู่หลายประการ

ประการแรกครับ จากการตอบคำถามในการอภิปรายของผมเรื่อง ทหารบนรางรถไฟฟ้า หน้าวัดปทุมวนาราม ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และยิงประชาชน!

แต่ ท่านรองนายกสุเทพ เทือกสุบรรณ พยายามบอกว่า วันที่ 19 พฤษภาคม ไม่มีทหารบนรางรถไฟฟ้า ทหารบนรางรถไฟฟ้ามาวันที่ 20 พฤษภาคม และบอกว่า วันหนึ่งหลักฐานก็จะปรากฏว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ท่านประธานครับ แล้วท่านประธานฟังคลิปวีโอคำพูดของท่านรองนายกสุเทพก่อนนะครับ > แทรกคลิป คลิปที่ 1

วันนี้ผมไปค้นพบสำนวนบันทึกคำให้การของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่สอบสวน

จ.ส.อ สมยศ ร่มจำปา หัวหน้าชุดปฏิบัติการ หน่วยรบพิเศษ ม.พัน 32 ลพบุรีครับ ซึ่งยืนยันได้ว่าเขาได้รับคำสั่ง จาก พ.ต นิมิตร วีระพงษ์ให้ เข้ามาปฏิบัติ งานบนรางรถไฟฟ้า บริเวณหน้าวัดปทุมตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่19 ซึ่งจากเอกสารชิ้นนี้ ยืนยันได้ว่าจากการที่ผมอภิปรายไม่ไว้วางใจท่านในครั้งนั้น

ท่านได้โกหกในสภาผู้แทนราษฏรว่าไม่มีทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้า ท่านได้บิดเบือนข้อมูล ของการกระทำ ของพวกท่านมาโดยตลอด หรือท่านจะมาแก้ตัวว่าที่ทหารทำไปทุกอย่างนั้น พวกท่านไม่รู้กันเลย



ท่านประธานครับ

ใน ส่วนที่ผมจะอภิปราย และจะยืนยันในประเด็นนี้ ก็เพื่อที่ผมจะสรุปให้ท่านประธาน และพี่น้องประชาชนที่ฟังอยู่ทุกท่าน ทราบว่าทหารภายใต้การบัญชาการของ ศอฉ. ซึ่งมี ฯพณฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานนั้น ได้ เข้าควบคุมพื้นที่ แบบเบ็ดเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ และผู้ก่อการร้ายในความหมายของท่านนั้น มันมีตัวตนจริงหรือไม่ หรือ? ทำไมจึงเป็นผู้ก่อการร้ายล่องหน ซึ่งจนป่านนี้ยังจับใครไม่ได้เลยสักคนเดียว ไม่มีอาวุธ ไม่มีการใช้สไนเปอร์ยิงผู้ก่อการร้ายล่องหนตาย ได้เลยสักคน และ นอกจากนั้น ยังไม่มีร่องรอย ของการต่อสู้ เกิดขึ้นในการสำรวจภายในของเซลทรัลเวิล์ดหลังวันเกิดเหตุการณ์เลย แม้แต่น้อย

ผมต้องกล่าวหาว่า การที่ฯพณฯ รองนายกสุเทพ สามารถเร่งดับเพลิงให้สงบได้แต่ท่านไม่ทำ การนิ่งเฉย ปล่อยให้มีการเผาไหม้เกิดขึ้น ลุกลาม จนกระทั่งตึกเวิล์ดเทรดถล่ม เมื่อเวลา 21.19 น. และปล่อยให้พนักงานดับเพลิงเข้ามาดับเพลิงได้ ก็เมื่อตอน 4 ทุ่ม มันก็เท่ากับท่าน ทำผิดกฏหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 81 วงเล็บ 2 ต้อง“คุ้ม ครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากการล่วงละเมิด ทั้งโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและโดยบุคคลอื่น และต้องอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน ”


ก่อนอื่น ผมต้องขอย้ำเตือนความจำของท่านประธานและพี่น้องประชาชนทั้งประเทศก่อนนะครับ ว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

1. ใน ช่วงเช้าเวลาประมาณ 05.00 น. ทหารเข้ากระชับพื้นที่ตั้งแต่บริเวณสวนลุม เข้ามาจนถึงแยกสารสิน ท่านประธานจะเห็นภาพรถหุ้มเกราะ เห็นภาพของทหารติดอาวุธครบมือ เต็มอัตราศึก ภาพของทหารยิงกดดันกลุ่มผู้ชุมนุมทุกคนที่อยู่ในรัศมีการยิงจนโงหัวไม่ขึ้น จนกระทั่งมีการยิงกลุ่มผู้ชุมนุมถึงแก่ชีวิตในขณะนั้น จำนวน 2 คนคือ

* 1.นายถวิล คำมูล ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อเวลา 11.30 น.
* 2.นายธนโชติ ชุ่มเย็น ถูกยิงเสียชีวิต 11.30 น.

1. นปช. ประกาศยุติการชุมนุม เวลา 13.40 น. และได้เข้ามอบตัวให้อยู่ในการควบคุมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเวลาต่อมา นั่นหมายถึงในขณะนั้น ทหารเริ่มเข้าคุมพื้นที่แล้วครับ
2. กลุ่มประชาชนได้ถูกกดดันให้เคลื่อนย้ายไปสู่วัดปทุมวนาราม ตั้งแต่เวลา 14.00 น.
3. ทหารเข้าควบคุมพื้นที่ราชประสงค์ไว้ได้ทั้งหมด โดยที่ท่านประธานจะเห็นภาพทหารที่ยืนคุมสถานการณ์ต่างๆไว้ ดังภาพที่ปรากฏดังต่อไปนี้
1. ภาพ ที่ 1 เป็นภาพเมื่อเวลา 14.40 น. จะเห็นได้ว่า ทหารจำนวนมาก ได้เข้าถึงเวทีได้ตั้งแต่เวลา 14.40 น.แล้ว ซึ่งเวทีจุดนี้อยู่ถนนราชประสงค์ข้างเซลทรัลเวิล์ด นับระยะสายตาประมาณ 50 เมตร ซี่งนับว่าใกล้มาก ซึ่งอยู่ตรงนี้ (ชี้ภาพประกอบ)
2. ภาพที่ 2 ทหารยืนคุมกำลังอยู่หน้าเวทีเมื่อเวลา 17.01 น. ซึ่งภาพนี้เป็นภาพโดยผู้เห็นเหตุการณ์ชาวต่างชาติ ซึ่งอยู่ตรงนี้ (ชี้ภาพประกอบ) จากภาพจะเห็นได้ว่า ทหารได้ยืนคุมกำลังกันอยู่อย่างสบายๆ ถึงขั้นถอดเสื้ออยู่ เพราะคิดว่าในบริเวณนั้นสามารถคุมกำลังกันได้เบ็ดเสร็จจนไม่มีใครที่คิดว่า เป็นผู้ก่อการร้ายของท่านอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว
3. ภาพที่ 3 ทหารยืนคุมกำลังรายล้อมห้างเซลทรัลเวิล์ดในเวลา 17.04 .01 น. ภาพ นี้ ก็ถ่ายภาพจากผู้เห็นเหตุการณ์ชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน
4. ภาพที่ 4 เดินมาอีกนิดหนึ่งเวลา 17.04.35 น. ก็มีภาพของทหารจำนวนมากยืนคุมสถานการณ์รายล้อมเซลทรัลเวิล์ดไว้อย่างแน่นหนา
5. ส่วนด้านหลังเซลทรัลเวิล์ดก็มีทหารยืนรายล้อมอยู่ ในส่วนที่จับภาพได้คือตั้งแต่เวลา 17.00 น. เช่นกัน
6. ถัดมา ก็มีทหารยืนรายล้อมเรียงรายเต็มไปหมดก็เป็นเวลา 17.00 น. เช่นเดียวกัน

ส่วน บนรางรถไฟฟ้าด้านหน้านั้นก็มีรายงานผลการสอบสวนของ DSI รายงานการสืบสวนคดีพิเศษ”บันทึกคำให้การ” จากการสอบปากคำของ พต.นิมิตร วีระพงษ์ รางรถไฟฟ้านั้นได้ถูกทหารเข้าควบคุมไว้หมดแล้วตั้งแต่ ช่วงเช้าและไม่มีใครสามารถขึ้นมาได้

ท่านประธานดูภาพนี้นะ ครับในช่วงเช้าเวลา 07.00 น. นั้นทหารซึ่งขึ้นควบคุมรางรถไฟฟ้าได้ใช้รถราง แบบใช้บนรางรถไฟฟ้า ขึ้นปฏิบัติงานวิ่งยาวและควบคุมไปตลอดจนถึงหน้าวัดปทุมวนาราม ท่านประธานจะเห็นภาพโดยตลอดนะครับว่าทุกภาพยืนยันได้ว่าทหารควบคุมพื้นที่ ได้ตลอดเส้นทาง ทั้งบนรางรถไฟฟ้า และด้านล่างซึ่งจากปากคำของ จ.ส.อ.สมยศ ร่มจำปาก็ได้ยืนยันว่าเขาได้เป็นผู้ปฏิบัติงานคุ้มครอง โดยมี ร.31 พัน 2 รอ.รับผิดชอบบนถนนพระรามที่ 1

ท่านประธานครับจากหลักฐานทั้ง หมด ท่านประธานคงจะเห็นแล้วว่าตั้งแต่เวลา 14.40 น. จนกระทั่ง ถึงเวลา 22.00 นาฬิกา ไม่มีบุคคลอื่นนอกจากทหารควบคุมบริเวณของสี่แยกราชประสงค์ไว้ได้เลย โดยเฉพาะเวลา17.00น.นั้น ไม่มีบุคคลอื่นที่เป็นอันตรายต่อทหารอยู่อย่างแน่นอน

ประกอบ กับหนังสือสอบถามของ DSI ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ยธ.0800/3108 และ หนังสือตอบของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ตช.0015.135 / 17936ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2554

ลงนามโดย พลตำรวจตรี วรศักดิ์ นพสิทธิพร จะเห็นว่าตั้งแต่วันที่ 17 – 19 พฤษภาคม 2553 จะไม่มีตำรวจปฏิบัติงานอยู่ในบริเวณของสี่แยกราชประสงค์เลย

ท่านประธานครับ นอกจากนั้น นอกจากวงล้อมด้านใน ดังที่กล่าวมาแล้ว ทหารยังมีวงล้อมด้านนอกซึ่งตรึงกำลังไม่ให้มี บุคคลเข้า – ออก ในบริเวณนั้นได้อีก ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า ใครจะเข้าก็ไม่ได้ และใคร จะออกมาก็ไม่ได้ เช่นกัน เพราะฉะนั้นการคุ้มกันคนเข้า - ออกบริเวณสี่แยกราชประสงค์และบริเวณ เซลทรัลเวิล์ดจึงแน่นหนามาก

ดัง นั้น ท่านประธานครับ ผมจึงขอสรุป ตรงนี้เอาไว้ก่อนว่าตั้งแต่เวลา 14.40 น.จนถึง17.00น. นั้น ทหารได้เข้าควบคุมพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ รอบๆเซนทรัลเวิล์ดไว้ได้แล้ว อย่างเบ็ดเสร็จ แล้วประเด็นนี้ ก็จะนำไปสู่คำถามต่อไปว่าใครเผาเซลทรัลเวิล์ดและมันเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ได้ อย่างไร

แล้วถาม ว่า ในขณะนั้นมีการจลาจล คนเป็นหมื่นเป็นแสน กรูกันไปเผาเซลทรัลเวิล์ดจริงไม๊ ?

ท่านประธานครับ จากภาพทั้งหมดมีคนไม่ถึง 30 คนเหลืออยู่ แล้วไหนละครับมีการยิงกันและการก่อการร้าย

แล้วประเด็นนี้ ก็จะนำไปสู่คำถามต่อไปว่าใคร เผาเซลทรัลเวิล์ดและมันเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ ได้อย่างไร

ใน ตอนนี้ ผมก็จะขอเข้าสู่ประเด็นที่ 2 ที่เกี่ยวกับคำตอบของท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตอบผม ในสภาผู้แทนราษฎร ในตอนที่ผมอภิปรายว่า เพลิงไหม้ เซ็นทรัลเวิลด์นั้นเกิดอย่างไร และท่านนายกตอบผมว่า ในเวลา5โมงเย็นไม่มีทหารอยู่บริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งผมก็แสดงให้เห็นแล้วครับว่ามีทหารเข้าควบคุมพื้นที่ได้ตั้งแต่เวลา14.40 น.พร้อมรูปผู้หญิงคนสุดท้าย และในกรณีที่มีผู้เข้ามาเผาเซ็นทัลเวิลด์นั้น ท่านเลือกที่จะเชื่อ รปภ. ของเซลทรัลเวิล์ดมากกว่าผู้แทนราษฏร และวันนี้ครับ ในนามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ผมก็จะขอเป็นตัวแทนของเหล่าพนักงานดับเพลิง ลูกจ้างและรปภ.ของเซลทรัลเวิล์ดตัวจริงที่ท่านพูดถึง นำเอาข้อมูลของเซลทรัลเวิล์ดที่ถือว่า เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงมาอภิปรายให้ท่านนายกรัฐามนตรีฟัง ซึ่งเมื่อท่านรับฟังแล้วก็ช่วยตอบผมหน่อยนะครับ ว่า ท่านยืนยันใช่ไหมครับว่า ท่านขอเชื่อคำพูดของ รปภ. ของเซลทรัลเวิล์ด และต่อจากนี้ ก็จะเป็นคำอภิปรายของท่านและ เสียงคร่ำครวญจากหัวใจของพวกเค้าตัวจริงที่ส่งผ่านมาถึงท่าน ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นคนใสซื่อ สะอาด และบริสุทธิ์ และนี่เป็นคำคร่ำครวญจากหัวใจของเหล่า ยาม ผู้เฝ้าเซลทรัลเวิล์ดที่ถูกท่านทำลาย บ้าน ของพวกเค้าไป

ท่านประธานครับ จากคำตอบของท่านนายกรัฐมนตรี ในวันนั้น ทำให้เหล่าเจ้าของบ้าน ที่ได้รับฟัง ทุกคนรู้สึกบาดใจ ผมจึงได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจำนวนมาก จากเจ้าของบ้าน ที่อยู่ภายในเซลทรัลเวิล์ด จากผู้พบเห็นเหตุการณ์ตัวจริงที่อยู่ภายใน ถึง 417 คนเหล่านั้น ทุกคนบอกว่า พร้อม! จะพูดความจริง เพื่อให้ความจริง ปรากฏต่อแผ่นดิน! ดีกว่าปล่อยให้ มีคนพูดเท็จและทำให้ประชาชนทั้งแผ่นดิน เข้าใจผิด


ท่านประธานครับ เรื่องมันสนุกล่ะครับ
ท่านนายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะรับฟังแล้วหรือยังครับ

1. ผมมีหลักฐานเป็นหนังสือมาจากเจ้าของบ้านที่เฝ้าอยู่ตรงนั้น มีมากถึง 417 คน
2. ผมมีหลักฐานคำตอบจากเจ้าของตัวจริงคุณสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ที่ตอบคำถามในคณะกรรมาธิการ องค์กรอิสระในวุฒิสภา
3. ผม มีหลักฐานเป็นหนังสือที่สัมภาษณ์ พนักงานดับเพลิงทั้งหมด เพื่อยืนยันว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เผา เซลทรัลเวิล์ด! แต่คนเผาเป็นคนที่มีอำนาจเหนือทหารและตำรวจ
4. ผมมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายบัญทึกเหตุการณ์อย่างเป็นทางการ ของบริษัทเซลทรัลเวิล์ด
5. ผมมีหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอ ที่เค้าบรรยายถึงความเจ็บปวดและเจ็บช้ำน้ำใจของเค้า ที่บ้านของเค้าถูกเผาทำลาย
6. ผม มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายจากผู้เห็นเหตุการณ์ชาวต่างประเทศ ที่อาศัย อยู่บนชั้น 23 ของคอนโด เพลสซิเด้นเพลส ซึ่งบันทึกภาพการระเบิดในเซลทรัลเวิล์ดหลังจากทหารเข้าคุมพื้นที่ทั้งหมด แล้ว ในเวลา 17.40 น.
7. ผมมีหลักฐานเป็นแผนผัง การควบคุมการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการป้องกันและดับเพลิงทั้งหมด
8. ผมมีหลักฐานว่า ท่านรองนายกสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นคนสั่งการเกี่ยวกับการดับเพลิง หรือไม่ให้ดับเพลิง ของเซลทรัลเวิล์ดทั้งหมด
9. ผมมีหลักฐานว่า ทหาร ควบคุม พื้นที่เซลทรัลเวิล์ดไว้ได้ทั้งหมดแล้ว และมีหลักฐานการสอบสวนของ DSI ว่าทหารคุมพื้นที่อยู่ทั้งหมด

10. ผมมีหลักฐาน เป็นแบบสรุปรายงานเหตุเพลิงไหม้ของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ระบุว่า “รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทหารว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติงาน และจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ดับเพลิง”

ท่าน ประธานครับวันนี้ผมมีหลักฐานจำนวนมาก และเป็นหลักฐานทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคล ที่เป็นเจ้าของบ้าน รวมทั้งเป็นหลักฐานทางราชการ เมื่อผมถามจบ ผมจะถาม สำนึกของนักการเมืองของ ท่านนายกรัฐมนตรีบ้างแล้วแหละว่า ถ้าหลักฐานทั้งหมดยืนยันได้ว่า การเกิดเพลิงไหม้ในเซลทรัลเวิล์ด พัวพัน มัด ยึดโยง กับตัวท่าน ว่า ท่านปล่อยปละละเลย ไม่สั่งการปล่อยให้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรง จนเกิดความเสียหายกับ กรุงเทพมหานคร อย่างแยกไม่ออก ท่านปกปิดเหตการณ์แบบ คนผาเข้าเผาได้ แต่คนดับไฟเข้าดับไฟไม่ได้


แล้ว ในฐานะที่ท่านเป็นผู้รับผิดชอบ ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร


หลักฐานชิ้นที่ 1 ผมมีหลักฐานเป็นหนังสือ เสียงจากเจ้าของบ้าน ใครเผาเซ็นทรัลเวิล์ดมาจากเจ้าของบ้านที่เฝ้าอยู่ตรงนั้น มีมากถึง 417 คน

และ มีหลักฐานเป็นภาพถ่ายบัญทึกเหตุการณ์อย่างเป็นทางการ ของบริษัทเซลทรัลเวิล์ด รวมถึงผมมีหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอ ที่เค้าบรรยายถึงความเจ็บปวดและเจ็บช้ำน้ำใจของเค้า ที่บ้านของเค้าถูกเผาทำลาย




เสียงจากเจ้าของบ้าน ใครเผาเซ็นทรัลเวิล์ด

หนังสือ ฉบับนี้ เขียนโดยเหล่าเจ้าของบ้าน ผู้รัก พิทักษ์ รักษาบ้าน เซลทรัลเวิล์ดของเค้า ด้วยความรัก ความหวงแหน ความห่วงใยผมขอนำเวลาท่านประธานและท่านผู้ชม กลับไปตั้งแต่เวลาบ่ายโมงของวันที่ 19 พฤษภาคม ท่านประธานครับในเซลทรัลเวิล์ดที่ทุกคนคิดว่า เหมือนไม่มีใครอยู่ เหมือนไม่มีใครป้องกัน เหมือนถูกทอดทิ้ง อย่างโดดเดี่ยว ! แต่ท่านประธานครับ ข้างในของเซลทรัลเวิล์ดนั้นมี พี่น้องที่มีจิตวิญญาณ ในการรักษา หวงแหน สถานที่ทำงาน อู่ข้าวอู่น้ำ และเปรียบเสมือนเป็นบ้านของพวกเค้าเอง ด้วยชีวิต พวกเขาเดินทางมาให้ข้อมูลพร้อมภาพถ่ายประกอบภายในถึงการเตรียมความพร้อม ของพวกเค้า ในการรักษาพิทักษ์ ปกป้อง เซลทรัลเวิล์ด บ้านของพวกเค้า


ในเซ็นทรัลเวิล์ดนั้นมีพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ ประมาณ 200 นาย มีพนักงานดับเพลิงที่อยู่ประจำการตลอด 24 ชม. อยู่มากกว่า 50 นาย และยังมี พนักงานที่อาสาสมัคร รักษา พิทักษ์ปกป้องเซลทรัลเวิล์ด อยู่รวมถึง 417 คน

ท่านประธานครับ พวกเขาอยู่อาศัยในเซลทรัลเวิล์ดมาตั้งแต่ เมื่อ วันที่ 12 มีนาคม 2553 เมื่อเริ่มมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ท่านประธานดูภาพครับ ชุดภาพชุดนี้เป็นภาพภายในเกี่ยวกับการดูแลความปลอดภัยและการเตรียมความพร้อม ของเซลทรัลเวิล์ด ซึ่งเป็นชุดเอกสารภายในของเซลทรัลเวิล์ดเอง ซึ่งท่านประธานจะสามารถสังเกตุได้จาก แบ็คกราวด์ ด้าน ล่าง

ท่านประธานครับ ตลอดระยะเวลา 67 วัน ที่พวกเค้าอยู่ในเซลทรัลเวิล์ด เขาได้อยู่อาศัยและเอื้ออาทรกับผู้ร่วมชุมนุม กันเป็นอย่างดี เขาบอกผมเองว่า เขาอยู่กับเวทีของ นปช. และกลุ่มคนที่มาร่วมชุมนุม อยู่ในบริเวณนั้น พวกเค้าแทบจะเรียกได้ว่า รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะระยะเวลา..วันนั้น เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอที่พวกเค้าเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกัน

ท่านประธานครับ ในวันที่ 19 พฤษภาคมนั้น พวกเค้าได้ติดตามการชุมนุมและการสลายการชุมนุมของทหารอยู่ในตึกสูง ตลอดเวลา

ท่านประธานครับ ในวันที่ 19 นั้นเค้านำภาพถ่าย จาก cctv เวลา 14.00 น. เข้ามาให้ดูครับ ว่ามีกลุ่มคนที่พยายามจะบุกเข้ามาในเซลทรัลเวิล์ดซึ่งเป็นคนที่เค้า ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ซึ่งดูแล้ว มีการเตรียมการมาอย่างเป็นระบบ คนทุบกระจกก็เข้ามาทุบ คนเตรียมกล่องโฟมก็ยกกล่องโฟมมาเป็นแผง ไม่ใช่กล่องโฟมเก่านะครับเป็นกล่องโฟมใหม่ทั้งตั้งเลย! รักษากันไว้อย่างดีมาก พวกเค้าทุบกระจก เข้ามาในเซลทรัลเวิล์ดและพยายามเผา

แทรกภาพ มีกลุ่มคนพยายามเข้ามาเผารอบแรก

ท่าน ประธานครับ จากจำนวนผู้ที่เข้ามาบุกรุก จากภาพ cctv บอกได้ครับ ว่าคนที่เข้ามาพยายามเผาในครั้งแรกนั้น มีประมาณไม่ถึง 20 คนเท่านั้นเอง หมูมากครับ สำหรับการขับไล่ผู้บุกรุกออกไป ด้วยจำนวนคนที่อยู่ภายใน ถึง 417 คน

ท่านประธาน จะเห็นภาพ การขับไล่ผู้บุกรุกออกไป ของ เจ้าหน้าที่ป้องกันของเซลทรัลเวิล์ด

ท่าน ประธานครับในช่วงเวลาที่พวกเขาเหล่าเจ้าของบ้าน ยังอยู่ภายในเซลทรัลเวิล์ดและระบบสปิงเกอร์ ซึ่งมีหัวดับเพลิงอยู่ทุกๆ 3 ตารางเมตร ยังทำงานอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตามถ้าจะเข้ามาเผาพวกเขารับรองว่าจะทำไม่สำเร็จแน่นอน ดังนั้นประเด็นที่ว่าการเกิดการเผา ไม่ว่าจะเป็นเหลือง เป็นแดง เป็นทหาร เป็นตำรวจ หรือเป็นจะเป็นใครเข้ามาเผาในช่วงบ่ายนั้น ก็ไม่มีความสำคัญเท่าไหร่แล้วครับ เพราะมันเผาไม่ได้ อย่างแน่นอน เพราะด้วยระบบการทำงานจากการป้องกันตัวเองขอบระบบสปิงเกอร์ จะเห็นได้ว่า เมื่อเวลา 14.30 น.ระบบสปิงเกอร์ ได้ทำงานดับเพลิงจนสงบลงทั้งหมด

เรื่อง นี้พ.ต.ท.ชุมพลบุญประยูร ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เลขาธิการสมาคมอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัย ที่ปรึกษาด้านการป้องกันอัคคีภัยในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ปได้พูดถึงเรื่องนี้เอา ไว้ในหนังสือคนค้นคนว่า

“เอาเฉพาะแค่ระบบป้องกันอัคคีภัยในห้างก็เกิน พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงบุคลากรเผา อย่างไรก็ไม่ไหม้ เพราะ ทุกๆ 3 ตารางเมตร จะมีสปิงเกิ้ลตัวหนึ่ง เรียกว่า ในทุกเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร จะมีสปิงเกิ้ลคลุมหมด ใหนจะสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ไหนจะกล้อง cctv ที่มองเห็นทุกจุดที่เกิดเหตุ แล้วยังมีห้องควบคุมสั่งการถึง 3 จุด จะเห็นได้เลยว่า ไม่มีทางไหม้ลุกลามได้เลย แต่นี่มันตั้งใจเผา แล้วไล่คนที่ดับเพลิงออกมา เผาอย่างนี้ 2-3 ชม . ก็ไหม้หมดแล้ว ถ้าไม่มีคนดับ ” และท่านยังบอกอีกว่า “ผมทำไมถึงรู้สึกโกรธ เจ็บแค้น ปวดร้าว ทั้งๆที่ไม่ใช่สมบัติอะไรของผมเลย หรือของพ่อแม่ผมเลย ก็เราเป็นนักดับเพลิง มันเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องช่วยชีวิต ช่วยพิทักษ์ทรัพย์สิน และต้องช่วยเหลือตามมนุษยธรรม แต่เรา กลับทำอะไรไม่ได้เลย มันเป็นโศกนาถกรรมที่ไม่น่าเกิดขึ้น”นั่น เค้าเป็นพนักงานดับเพลิงเค้ายังมีจิตวิญญานที่อยากดับเพลิงเลย ทำไมท่านซึ่งเป็นผู้บริหารประเทศถึงใจดำ ปล่อยให้เกิดเพลิงใหม้เผาผลาญเมืองไปทั้งกรุงเทพ

และ เดี๋ยวผมจะบอกท่านประธานต่อไปอีกนะครับ ว่าแล้วเซลทรัลเวิล์ด มันเกิดไฟไหม้ได้อย่างไร

ท่าน ประธานครับ ในเวลา 14.40 น. ห่างจากครั้งแรก40นาที คราวนี้มีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เข้ามาในเซลทรัลเวิล์ดครับ คราวนี้นำมาด้วยระเบิด เข้ามาที่จุดเดิมแหละครับ ภาพนี้เซลทรัลเวิล์ดบรรยายภาพเลยครับว่า เป็นชายแต่งกายคล้ายทหาร

ชาย คนนี้แต่งกายรองเท้าบูท แบบทหารเลย และมีผ้าพันคอคล้ายๆกับทหารที่อยู่ด้านนอก ผูกมาด้วย เค้าคงไม่นึกว่า มีภาพ cctv จับอยู่ คราวนี้ปาระเบิดใส่พนักงานก่อนเลย

ท่านประธาน คงจะสังเกตุเห็นหลุมระเบิดนี้น่ะครับ หลุมแบบนี้ไม่ใช่ระเบิดปิงปอง แต่เป็นระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรง แบบที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารเค้าใช้อยู่ หรือถ้าจะดูจากลักษณะการระเบิดแล้วก็น่าจะเป็นระเบิด m67 หรือระเบิดน้อยหน่า

ท่านประธานครับ คราวนี้พนักงานของเซลทรัลเวิล์ดบาดเจ็บกันเยอะแยะไปหมด โหดร้ายไหมครับท่านประธาน แค่เคลียร์พื้นที่ก็ไม่ได้คำนึงถึงชีวิตประชาชนเลย เค้าบาดเจ็บอาการหนักกันหลายคน อย่างนายประหยัด ที่นอนอยู่ตรงนี้โดนเข้ากลางหลัง สาหัสเลยครับ พวกเค้าพยายามแจ้งไปยังทหารตำรวจทุกฝ่าย แต่ไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเค้าเลย จนกระทั่งมีตำรวจจากทางวังสระปทุม เข้ามาเมื่อเวลา 15.35 น. จับผู้บุกรุกได้ 9 คน และได้ถูกดำเนินคดีไปแล้วทั้งหมด